วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553

ความรักต่อพ่อแม่

ครอบครัว คือ สถาบันมูลฐานของมนุษยชาติ เป็นหน่วยขนาดเล็กที่สุดของสังคม เป็นผู้สร้างและกำหนดสถานภาพ สิทธิ หน้าที่ของบุคคลอันพึงปฏิบัติต่อกันในสังคม เป็นสถาบันแห่งแรกในการถ่ายทอดวัฒนธรรมและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพ ของสังคมและประเทศชาติ

ความหมายของครอบครัว

ครอบครัว หมายถึง องค์กรที่มีขนาดเล็กที่สุดในสังคม ประกอบด้วยบุคคลที่มีความสัมพันธ์กันทางสายโลหิตหรือทางกฎหมาย โดยการสมรสหรือการรับรองบุตรเป็นบุตรบุญธรรม ซึ่งได้แก่ พ่อ แม่ บุตรและญาติพี่น้อง

ประเภทของครอบครัว

ครอบครัวในสังคมต่าง ๆ ย่อมมีโครงสร้างและลักษณะแตกต่างกันไป ซึ่งถ้าจะแบ่งครอบครัวเป็นประเภทใหญ่ ๆ เพื่อสะดวกในการศึกษาจะแบ่งได้เป็น 2 ประเภท

ครอบครัวเดี่ยวหรือครอบครัวเฉพา

ประกอบด้วยบิดา มารดาและบุตรเท่านั้น ซึ่งสมาชิกในครอบครัวจะมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด คือทั้งทางสายโลหิตและทางกฎหมาย (การรับจดทะเบียนบุตรเป็นบุตรบุญธรรม) ขนาดของครอบครัวขึ้นอยู่กับจำนวนบุตรที่ถือกำเนิดจากบิดา มารดา ถึงแม้จะมีการรับบุตรบุญธรรมบ้าง ก็มีจำนวนไม่มาก สังคมสมัยใหม่ทั่วไปมักมีครอบครัวประเภทนี้เป็นจำนวนมาก จนมีผู้กล่าวว่าสังคมใดมีความเจริญทางอุตสาหกรรมและการค้า ครอบครัวในสังคมนั้นจะเป็นครอบครัวเดี่ยวหรือครอบครัวเฉพาะเป็นส่วนใหญ่

ครอบครัวขยายหรือครอบครัวเสริม

ครอบครัวประเภทนี้มีพื้นฐานจากครอบครัวเดิมมาจากครอบครัวเฉพาะ ซึ่งสมาชิกประกอบด้วย บิดา มารดา และบุตร นอกจากนี้ยังมีญาติพี่น้องอื่น ๆ เป็นสมาชิกอาศัยร่วมอยู่ด้วย ซึ่งอาจจะเป็น ปู่ ย่า ตา ยาย หรือ ลุง ป้า น้า อา และอาจจะมีหลานร่วมด้วย ครอบครัวขยายจึง มีสมาชิกมากกว่าครอบครัวเฉพาะ นอกจากครอบครัวขยายหรือครอบครัวเสริมมีความแตกต่างกับครอบครัวเดี่ยวหรือ ครอบครัวเฉพาะในเรื่องของสมาชิกแล้ว ความสัมพันธ์และโครงสร้างระหว่างสมาชิกก็มีความแตกต่างกันด้วย

ในสมัยก่อนครอบครัวของสังคมไทยมีลักษณะเป็นครอบครัวขยาย หรือครอบครัวเสริมเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้เนื่องจากการดำรงชีวิตของคนไทยในอดีต เป็นสังคมเกษตรกรรม ต้องอาศัยแรงงานจากครอบครัวในการทำเกษตร แต่ปัจจุบันของคนไทยเปลี่ยนแปลงและมีความหลากหลายอาชีพ ทำให้ครอบครัวขยายหรือครอบครัวเสริมมีมากขึ้นเช่นกัน แต่ข้อดีของครอบครัวขยายหรือครอบครัวเสริมที่ น่าสนใจเมื่อเปรียบเทียบกับครอบครัวเดี่ยวหรือครอบครัวเฉพาะ เนื่องจากในสังคมไทยปัจจุบันสามีภรรยามักออกทำงานนอกบ้านทั้งคู่ ลูกจ้างที่ต้องเลี้ยงดูบุตรที่ยังเล็กอยู่หาได้ยากหรืออาจได้ลูกจ้างที่ ไม่เหมาะสม ซึ่งมีผลทำให้บุตรเจริญเติบโตมาด้วยความว้าเหว่ ขาดความอบอุ่น ถ้ามีญาติผู้ใหญ่อาศัยอยู่ด้วยแบบครอบครัวขยายหรือครอบครัวเสริมก็สามารถ ดูแลให้การอบรมคุณธรรม จริยธรรม ด้วยความรักความเอาใจใส่ ทำให้บุตรเจริญเติบโตเป็นคนดี มีคุณธรรม เป็นพลเมืองที่ดีของสังคมและประเทศชาติ ซึ่งบิดาและมารดาที่มีภาระหน้าที่พิเศษทางสังคมเป็นจำนวนมากไม่สามารถทำได้

ความสัมพันธ์ของสมาชิกในครอบครัว

แต่ละครอบครัวทั้งครอบครัวขยายและครอบครัวเดี่ยวมีสมาชิกอาศัยและปฏิบัติ กิจกรรมต่าง ๆ ร่วมกัน สมาชิกในครอบครัวจึงมีความสัมพันธ์กันในด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้

สามีและภรรยา

มีความสัมพันธ์บนพื้นฐานความต้องการทางเพศของมนุษย์ คือ การมีเพศสัมพันธ์ ความรับผิดชอบร่วมกันในด้านต่าง ๆ เช่น การดูแลบุตรหรือผู้สูงอายุในครอบครัว การให้ความช่วยเหลือญาติพี่น้องของทั้งสองฝ่ายตามสมควร โดยเฉพาะความสัมพันธ์ด้านเศรษฐกิจ ได้แก่ การหารายได้สู่ครอบครัว การร่วมกันคิดตัดสินใจในค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของครอบครัวและการให้ความรักความอบอุ่น ทางด้านจิตใจซึ่งกันและกัน

พ่อ แม่และลูก

ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อ แม่กับลูกนั้น มีตั้งแต่ลูกเกิด พ่อแม่มีหน้าที่ให้การเลี้ยงดูส่งเสริมการเรียนและส่งเสริมสุขภาพ ส่วนลูกก็มีหน้าที่ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ในสังคมไทย พ่อแม่จะดูแลลูกเมื่อลูกยังเด็ก และเมื่อลูกเติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็จะมาดูแลพ่อแม่อีกที

พี่น้อง

จะมีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดเพราะว่าเติบโตมาด้วยกันอยู่ในครอบ ครัวเดียวกัน มีความรัก ความอบอุ่นร่วมกัน พี่น้องจึงมักให้การช่วยเหลือกันในด้านต่าง ๆ อยู่เสมอ เช่น ด้านเศรษฐกิจ ด้านการงาน เป็นต้น

เครือญาติ

เป็นสถานะของครอบครัวที่มีการขยายหรือกระจายกว้างขวางออกไป เช่น ญาติฝ่ายสามี ญาติฝ่ายภรรยาหรือกรณีนามสกุลเดียวกัน ความช่วยเหลือหรือความสัมพันธ์ต่าง ๆ ขึ้นอยู่กับ ความสนิทสนมในการไปมาหาสู่ซึ่งกันและกัน หากสนิทกันมากก็จะให้ความช่วยเหลือกันเช่นเดียวกับ พี่น้อง

บทบาทหน้าที่ของสมาชิกในครอบครัว

หน้าที่ของบุคคลที่มีต่อครอบครัว สมาชิกในครอบครัวเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค การช่วยเหลือซึ่งกันและกันในครอบครัวเป็นบทบาทหน้าที่ที่สมาชิกแต่ละคนพึง ปฏิบัติ ดังนี้

หน้าที่ของบิดา

บิดามารดาเป็นหัวหน้าครอบครัวมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่อตนเองและ ต่อสมาชิกทุกคนในครอบครัว เป็นผู้ที่มีบทบาทที่สำคัญยิ่งในการดำเนินชีวิตของสมาชิกทุกคนในครอบครัว บิดามารดาที่ดีควรปฏิบัติหน้าที่ดังต่อไปนี้

  1. ประกอบอาชีพในทางสุจริตด้วยความขยันหมั่นเพียรเพื่อหาทรัพย์สินมา ใช้จ่ายสร้างประโยชน์และความสุขให้กับสมาชิกในครอบครัว โดยไม่ก่อหนี้สินและใช้จ่ายอย่างประมาณตน
  2. รู้จักวางแผนการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ในครอบครัว เช่น รู้จักเก็บออมไว้ใช้จ่ายยามจำเป็น เช่น ค่าเล่าเรียนบุตร ค่ารักษาพยาบาลของสมาชิกในครอบครัว เป็นต้น
  3. เป็นแบบอย่างที่ดีต่อบุตร ในด้านความประพฤติและปฏิบัติตนในทางที่เหมาะสม อย่างสม่ำเสมอ
  4. ดูแลทุกข์สุขและให้ความอบอุ่นต่อตนเองและแก่บุตร เป็นที่พึ่งของบุตรรวมทั้งมอบทรัพย์สมบัติให้เมื่อถึงโอกาสอันควร
  5. รับผิดชอบในด้านการศึกษาของบุตรโดยสนับสนุนให้ศึกษาเล่าเรียนตาม ความสามารถและสติปัญญาของบุตรอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อบุตรจะได้มีวิชาความรู้นำไปประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองได้
  6. อบรมสั่งสอนบุตรให้เป็นคนดี มีคุณธรรม มีวินัยในการดำรงชีวิตดังนี้

- อธิบายให้บุตรเชื่อมั่นในการทำความดี มีหลักยึดเหนี่ยวจิตใจ

- โน้มน้าวให้บุตรประพฤติดีงาม สุจริต รู้จักเลี้ยงชีวิต มีวินัย มีกิริยามารยาทอันดีงาม

- ปลูกฝังเจตคติที่ดีในการศึกษาหาความรู้เพื่อปรับปรุงชีวิตให้มีหลักฐานมั่นคง

- อบรมสั่งสอนให้บุตรให้มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ โอบอ้อมอารี สร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับตนเองและสังคมในโอกาสต่าง ๆ ตามความเหมาะสม

หน้าที่ของสามีภรรยา

สามีภรรยาควรมีบทบาทและหน้าที่ดังนี้

  1. มีความสนใจในแนวทางเดียวกัน มีจิตใจหนักแน่น ปรับตัวเข้าหากัน
  2. เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ โอบอ้อมอารี ใจกว้าง เสียสละ พร้อมที่จะช่วยเหลือเกื้อกูล ซึ่งกันและกัน
  3. รู้เหตุผล เข้าใจกัน ไม่ขัดแย้งอย่างไม่มีเหตุผล และไม่ยึดเหตุผลของตนเองเพียงฝ่ายเดียว
  4. เอาใจใส่และห่วงใยซึ่งกันและกัน เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขในทุกโอกาส พยายามเข้าใจในคามรู้สึก ความต้องการและสภาพปัญหาของแต่ละฝ่าย
  5. ยกย่องซึ่งกันและกัน ไม่ดูหมิ่น ไม่นอกใจคู่สมรส

วันครอบครัว

สืบเนื่องจากคณะกรรมาธิการกิจการสตรีและเยาวชน สภาผู้แทนราษฎร ได้สรุปผลการศึกษาเรื่องปัญหาเด็กและเยาวชนว่า ปัญหาครอบครัวในปัจจุบัน เป็นสาเหตุหนึ่งที่ก่อให้เกิดปัญหาสังคมต่างๆ ขึ้น จึงเห็นสมควรจัดให้มี “วันแห่งครอบครัว” ขึ้น เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักในความสำคัญของครอบครัว และช่วยกันสร้างครอบครัวให้เกิดความอบอุ่น ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาได้ระดับหนึ่ง

ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๕๓๒ อนุมัติในหลักการตามข้อเสนอของคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายสังคม ที่จะกำหนดให้ “วันแห่งครอบครัว” ขึ้น ส่วนการกำหนดให้วันใดเป็นวันแห่งครอบครัวและมีกิจกรรมใดบ้างนั้น รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี (คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์) ในขณะนั้น ได้นำกราบเรียน ฯพณฯ นายกรัฐมรตรี ( พลเอกชาติชาย ชุณหวัณ ) เพื่อพิจารณาอนุมัติและนำเสนอคณะรัฐมนตรี เพื่อรับทราบ พร้อมทั้งให้ถือเป็นมติคณะรัฐมนตรี โดยกำหนดให้วันที่ ๑๔ เมษายน ของทุกปี เป็นวันแห่งครอบครัว

เหตุที่รัฐบาลได้กำหนดให้ วันที่ ๑๔ เมษายน เป็นวันครอบครัว เนื่องจากวันที่ ๑๓ เมษายน เป็นวันสงกรานต์ตามประเพณีไทย ซึ่งในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ประชาชนส่วนใหญ่จะเดินทางกลับไปสู่ครอบครัว









นิวซีแลนด์

ประเทศนิวซีแลนด์ (New zealand)

เมืองหลวง : เวลลิงตัน
เมืองใหญ่สุด : โอกแลนด์ (1,241,600)2,3
ภาษาราชการ : ภาษาอังกฤษ4 ภาษาเมารี และภาษาสัญลักษณ์นิวซีแลนด์
การปกครอง : ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ
- ประมุข : สมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2
- ผู้สำเร็จราชการแทน : อานันท์ สัตยนันท์
- นายกรัฐมนตรี : เฮเลน คลาร์ก
เนื้อที่ทั้งหมด : 268,680 กม.? (อันดับที่ 74)
พื้นน้ำ : 2.1(%)
ประชากร : 4,134,200 (อันดับที่ 124 (2548))
ความหนาแน่น : 15/กม? (อันดับที่ 193)

สกุลเงิน : ดอลล่่าร์นิวซีแลนด์
รหัสโทรศัพท์ : +64


นิวซีแลนด์ (อังกฤษ: New Zealand ; เมารีนิวซีแลนด์: Aotearoa [เอาเตอารัว] หมายถึง "ดินแดนแห่งเมฆยาวสีขาว" หรือ Niu Tireni [นิวทิเรนี] ซึ่งเป็นการทับศัพท์จากภาษาอังกฤษ) เป็นประเทศที่ประกอบด้วยเกาะใหญ่ 2 เกาะ รวมถึงเกาะเล็ก ๆ จำนวนหนึ่ง ในมหาสมุทรแปซิฟิกตอนตะวันตกเฉียงใต้
นิวซีแลนด์เป็นประเทศที่ห่างไกลจากประเทศอื่น ๆ มากที่สุด ประเทศที่อยู่ใกล้ที่สุดคือประเทศออสเตรเลีย ซึ่งตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะใหญ่ 2,000 กิโลเมตร โดยที่มี ทะเลแทสมันกั้นกลางดินแดนเดียวที่อยู่ทางใต้
้คือทวีปแอนตาร์กติกา และทางเหนือคือนิวแคลิโดเนีย ฟิจิ และตองกา
นิวซีแลนด์ได้กลายเป็นอาณานิคมของอังกฤษด้วยสนธิสัญญาไวทังกิ (Treaty of Waitangi) เมื่อปี พ.ศ. 2383 ซึ่งได้สัญญาไว้ว่าจะให้ "complete chieftainship" (tino rangatiratanga) แก่ชนเผ่าเมารีของนิวซีแลนด์ ในปัจจุบันความหมายที่แน่นอนของสนธิสัญญานั้น
ี้ยังคงเป็นข้อพิพาท และยังคงเป็นเรื่องที่ก่อให้เกิดการแบ่งแยกและความไม่พอใจ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2383 นิวซีแลนด์ได้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง
จนเป็นประเทศอิสระที่มีรัฐสภาในระบอบประชาธิปไตย และอยู่ภายใต้พระมหากษัตริย์ของกษัตริย์แห่งนิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวกับประเทศอื่นในเครือจักรภพ นิวซีแลนด์รับผิดชอบการต่างประเทศของหมู่เกาะคุกและนีอูเอ
ซึ่งปกครองตนเอง และปกครองโตเกเลาเป็นเมืองขึ้น พื้นที่ส่วนใหญ่ของนิวซีแลนด์มีภูมิอากาศเขตอบอุ่น
และภูมิประเทศที่มีความหลากหลายและสวยงาม เศรษฐกิจของนิวซีแลนด์เน้นการค้าโดยมีฐานจากการเกษตร ชาวนิวซีแลนด์โดยทั่วไปเดินทางมาก และสนับสนุนการร่วมมือกันระหว่างประเทศและสิ่งแวดล้อม กิจกรรมภายนอกเป็นกิจกรรมที่นิยมกันโดยเฉพาะกีฬาต่าง ๆ คือ รักบี้ คริกเกต และ เนตบอล รวมถึงกีฬาเอกซ์ตรีมสปอร์ตและการเดินไกล

ประวัติศาสตร์

นิวซีแลนด์นั้นเดิมถูกปกครองโดยชาวเมารี แต่มีนักล่องเรือชาวดัตช์ ชื่อ อเบล แอนชุน ทัสแมน ได้ล่องเรือเลียบมาทางออสเตรเลียและได้พบเกาะนิวซีแลนด์เข้า และได้พบกับชาวเมารีที่ส่วนใหญ่นั้นเป็นมิตรจึงได้ตั้งชื่อเกาะนี้ว่าNieuw Zeeland หรือ New Zealand จากนั้นชื่อเสียงของนิวซีแลนด์ก็เป็นที่รู้จักกันในยุโรป เพราะมีธรรมชาติที่สวยงามเหมาะกับการเพาะปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์มาก ต่อมากัปตันเจมส์ คุก ได้ล่องเรือมาบ้าง แต่โชคดีที่มีคนบนเรือสามารถพูดภาษาไวทิงกิได้บ้าง จึงเจรจากับชาวเมารีได้ และพบว่าชาวเมารีเป็นชนเผ่าสายเลือดนับรบ จึงได้ตกลงแลกพืชพันธุ์กับอาวุธจากทางยุโรป และต่อมาเมื่อชาวเมารีมีอาวุธมากจึงสู้รบกันจนชนเผ่าเมารีลดลง ทางอังกฤษจึงได้ส่งคนมาทำสัญญา ที่มีชื่อว่า สนธิสัญญาไวทังกิ ขึ้น และส่งคนมาสำเร็จราชการแทนชื่อ วิลเลียม ฮอบสัน

การเมืองการปกครอง

นิวซีแลนด์มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา และราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ประมุขแห่งรัฐคือสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และมีตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นผู้แทนพระองค์ในนิวซีแลนด์

รัฐธรรมนูญของ นิวซีแลนด์เป็นแบบไม่เป็นลายลักษณ์อักษร คือไม่มีกฎหมายฉบับใดฉบับหนึ่งที่บัญญัติถึงระบบการเมืองการปกครอง แต่จะมีกฎหมายอื่นๆ หลายฉบับมาประกอบกัน เช่น Constitution ACT1986 ซึ่งเป็นพระราชบัญญัติที่ได้รวบรวมเอาหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญที่กระจัดกระจาย อยู่มาบัญญัติไว้ด้วยกัน และพระราชบัญญัติเลือกตั้ง เป็นต้น แต่พระราชบัญญัติเหล่านี้ไม่มีบทบัญญัติที่ว่า บทบัญญัติของกฎหมายใดที่ขัดแย้งกับพระราชบัญญัติฉบับนี้ใช้บังคับมิได้ นอกจากนี้ กฎหมายรัฐธรรมนูญของนิวซีแลนด์ยังรวมเอากฎหมายของอังกฤษบางฉบับที่บังคับใช้ ในนิวซีแลนด์ด้วย เช่น Act of Settlement 1701 ซึ่งเกี่ยวกับการสืบราชสันตติวงศ์ของกษัตริย์อังกฤษ คำพิพากษาของศาลในคดีที่เกี่ยวกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ และธรรมเนียมปฏิบัติทางรัฐธรรมนูญ เป็นต้น รัฐสภาของนิวซีแลนด์เป็นระบบสภาเดี่ยว โดยทั่วไปประกอบด้วยสมาชิก 120 คน

การแบ่งเขตการปกครอง

ตอนที่เริ่มตั้งถิ่นฐาน นิวซีแลนด์ได้แบ่งเป็นจังหวัดต่าง ๆ (provinces) ซึ่งได้ยกเลิกไปใน พ.ศ. 2419 เพื่อให้จัดการปกครองแบบศูนย์กลาง เนื่องด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจ ทำให้นิวซีแลนด์ไม่มีการแบ่งการปกครองเป็นระดับรัฐ จังหวัด หรือเขต นอกจากรัฐบาลท้องถิ่น อย่างไรก็ดี ความภูมิใจในระดับจังหวัด ยังคงมีอยู่ และมีการแข่งขันอย่างรุนแรงในทั้งด้านกีฬาและวัฒนธรรม

ตั้งแต่ พ.ศ. 2419 รัฐบาลท้องถิ่นได้ ปกครองภูมิภาคต่าง ๆ ของนิวซีแลนด์ เนื่องจากแต่เดิมเป็นอาณานิคมของอังกฤษ รัฐบาลท้องถิ่นของนิวซีแลนด์จึงได้ออกแบบตามโครงสร้างรัฐบาลท้องถิ่นของ อังกฤษ โดยมีสภาท้องถิ่นระดับเมือง โบโร (borough) และเคาน์ตี (county) ตามเวลาที่เปลี่ยนไป บางสภาได้รวมกัน หรือเปลี่ยนอาณาเขตตามข้อตกลงร่วมกัน และมีการสร้างสภาแห่งใหม่บางแห่ง ใน พ.ศ. 2532 รัฐบาลได้จัดรัฐบาลท้องถิ่นใหม่ทั้งหมด เป็นแบบ 2 ระดับ ในปัจจุบัน คือ สภาภูมิภาค (regional councils) และ สภาดินแดน (territorial authorities)

ปัจจุบัน นิวซีแลนด์มีสภาภูมิภาค 12 แห่ง สำหรับการปกครองเกี่ยวกับเรื่องของสิ่งแวดล้อมและการขนส่ง และสภาดินแดน 74 แห่ง ที่ดูแลด้านสาธารณูปโภค การสร้างถนน การระบายน้ำเสีย การอนุญาตการก่อสร้าง และเรื่องอื่น ๆ ภายในท้องถิ่น สภาดินแดนมี 74 แห่ง แบ่งออกเป็นสภานคร (city council) 16 แห่ง สภาเขต (district council) 57 แห่ง และสภาหมู่เกาะแชแทม (Chatham Islands Council) สภาดินแดน 4 แห่ง (1 นครและ 3 เขต) และสภาหมู่เกาะแชแทมทำหน้าที่เช่นเดียวกับสภาภูมิภาค จึงเรียกว่า unitary authorities เขตของดินแดนไม่จัดเป็นเขตย่อยของเขตของสภาภูมิภาค และบางดินแดนมีการคร่อมเขตของสภาภูมิภาค

ภูมิศาสตร์

ประเทศนิวซีแลนด์แบ่งออกเป็น 2 เกาะหลัก และเกาะเล็กๆ อีกหลายเกาะตั้งอยู่กลางกระแสน้ำแบ่งซีกโลกเหนือและซีกโลกใต้ ทางเหนือและทางใต้ของเกาะถูกแบ่งโดยช่องแคบ Cook ซึ่งมีความกว้าง 20 กิโลเมตร และเป็นจุดที่แคบที่สุดของเกาะ ปริมาณพื้นที่ของประเทศคือ 268,680 ตารางกิโลเมตร ( 103,738 ตารางไมล์ ) มีขนาดเล็กกว่าประเทศอิตาลีและประเทศญี่ปุ่นเล็กน้อย และเล็กกว่าสหราชอาณาจักรอังกฤษด้วย เกาะเล็กกว่าที่มีผู้คนอาศัยอยู่และมีความสำคัญประกอบไปด้วยเกาะ Stewart Island/Rakiura; เกาะ Waiheke, เกาะ Great Barrier และเกาะ Chatham ประเทศนิวซีแลนด์มีแหล่งน้ำครอบคลุมทั่วประเทศและเป็นประเทศอันดับที่ 7 ของโลกที่มีพื้นที่ทางน้ำซึ่งมีความสำคัญทางด้านเศรษฐกิจครอบคลุมถึง 4 ล้านตารางกิโลเมตร ( 1.5 ล้านตารางไมล์ ) มากกว่าขนาดพื้นที่ดินถึง 15 เท่า จุดที่สูงที่สุดของประเทศนิวซีแลนด์คือภูเขา Aoraki/Mount Cook ซึ่งมีความสูง 3754 เมตร ( 12,320 ฟุต ) มีจุดที่สูงที่สุด 18 แห่งที่มีความสูงเกิน 3,000 เมตร ( 10,000 ฟุต ) อยู่ทางใต้ของเกาะ ทางเหนือของเกาะมีพื้นที่ที่เป็นภูเขาน้อยกว่าทางใต้ แต่เป็นที่รู้กันว่าภูเขาเหล่านั้นเป็นภูเขาไฟ ภูเขาที่สูงที่สุดของเกาะทางเหนือคือภูเขา Mount Ruapehu ( 2,797 เมตร / 9,177 ฟุต ) และเป็นภูเขาไฟที่ยังประทุอยู่ มีพื้นที่หลายแห่งที่สวยงามน่าตื่นตาตื่นใจและถูกนำไปเป็นฉากสำหรับถ่ายทำ รายการทีวีและภาพยนตร์ เช่น ภาพยนตร์เรื่อง The Lord Of The Ring และ The Last Samurai

สภาพภูมิอากาศ

ประกอบด้วย 4 ฤดูกาล ได้แก่ ฤดูร้อน ธันวาคม - กุมภาพันธ์ ฤดูใบไม้ร่วง มีนาคม – พฤษภาคม ฤดูหนาว มิถุนายน – สิงหาคม ฤดูใบไม้ผลิ กันยายน – พฤศจิกายน เนื่องจากตั้งอยู่ในโซนอากาศอบอุ่น ทำให้มีอากาศอบอุ่นชุ่มชื้นตลอดปี ฤดูร้อนอากาศค่อนข้างเย็น ฤดูหนาวไม่หนาวจัดมาก มีฝนตกตลอดปี ได้รับอิทธิพลจาก - ลมประจำที่พัดผ่าน คือลมฝ่ายตะวันตก - กระแสน้ำอุ่นออสเตรเลียตะวันออก อากาศแตกต่างกันดังนี้ - เกาะเหนือมีอากาศอบอุ่นชื้นทั่วเกาะ - เกาะใต้ชายฝั่งตะวันตกฝนชุกกว่าชายฝั่งตะวันออก - เกาะใต้ช่วงฤดูใบไม้ร่วงย่างเข้าสู่ฤดูหนาวจะมีหิมะปกคลุมอยู่ทั่ว และมีมากที่ Mt.Cook



เศรษฐกิจ

นิวซีแลนด์ เป็นประเทศหนึ่งในเขตแปซิฟิกที่มีการทำอุตสาหกรรม เช่น การต่อเรือ โรงงานเบียร์ไวท์ โรงงานปลากระป๋อง แต่ส่วนใหญ่การอุตสาหกรรมในนิวซีแลนด์มีน้อยมาก และ มีการทำอุตสาหกรรมการเกษตร เช่นการทำผลไม้กระป๋อง อุตสาหกรรมการขุดแร่ เช่น ถ่านหิน เหล็ก อุตสาหกรรมป่าไม้ และ ยังมีการเพาะปลูกที่ทำให้นิวซีแลนด์มีรายได้มากส่วนหนึ่ง เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และ ผลไม้เช่น สตรอเบอรี่ และแอปเปิล เป็นต้น

ประชากร

นิวซีแลนด์ส่วนใหญ่มีเชื้อสายมาจากชาวอังกฤษ ส่วนชนเผ่าพื้นเมืองเรียกว่า ชาวเมารี (Maori) ซึ่งมีผิวสีเหลืองมีอยู่ประมาณ 151,100 คน ซึ่งมีสิทธิทางสังคมเทียบเท่ากับชาวผิวขาวทุกอย่าง โดยรัฐบาลกลางอังกฤษให้ความคุ้มครองทั่วถึงทุกคน ชาวนิวซีแลนด์ส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรแตสแตนส์

วัฒนธรรม

ชาวนิวซีแลนด์ ส่วนใหญ่ได้รับอารยธรรมอังกฤษแทบทั้งสิ้นการแต่งกายจะดูคล้ายชาวอังกฤษทางตอนเหนือ มีภาษาอังกฤษเป็นภาษาประจำชาติ


ประเทศนิวซีแลนด์ มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจดังนี้

ประเทศนิวซีแลนด์เป็นประเทศหนึ่งที่มีการส่งเสริมด้านการท่องเที่ยว แหล่งท่องเที่ยวมักเป็นการเที่ยวชมธรรมชาติที่หลากหลาย ได้แก่ ถ้ำ น้ำตก ธารน้ำแข็ง น้ำพุร้อน ฟาร์ม เป็นต้น แบ่งตามสภาพภูมิประเทศที่เป็นเกาะใหญ่ 2 เกาะดังนี้
- เกาะเหนือ - มีสถานที่ท่องเที่ยว ได้แก่ เมือง Auckland, ถ้า Waitomo ซึ่งมีหนอนเรืองแสง, เมืองน้ำพุร้อน Rotorua, หุบเขา Paradise Valley, ฟาร์ม Agrodome, ศูนย์หัตถกรรมชาวเมารี (Maori Arts&Crafts), พื้นที่อนุรักษ์ น้ำพุร้อนและโคลนเดือด Whakarewarewa Thermal Reserve
- เกาะใต้ - มีสถานที่ท่องเที่ยว ได้แก่ เมือง Christchurch, ภูเขาที่มีสภาพอากาศเย็นตลอดปี ชื่อ Mt Cook, เมือง Queentown, ทะเลสาบ Te Anau, ร่องเรือที่ Milford Sound, ธารน้ำแข็ง Fox Glacier, ทางรถไฟสาย Tranz Alpine ซึ่งเชื่อมเมือง Hokitika, Greymouth และ Christchurch

แหล่งท่องเที่ยวในเมืองและทางธรรมชาติ (Urban and Scenic Attractions)

ประเทศนิวซีแลนด์มีทิวทัศน์ที่สวยงามมากมายทั่วประเทศ ซึ่งสามารถชมได้ผ่านหลายทาง
จาก หอคอย Sky Tower ในเมืองอ็อคแลนด์ คุณสามารถชมวิวอันตระการตาของเมืองได้ ไม่ว่าจะเป็นร่องรอยของปล่องภูเขาไฟ อ่าวที่เต็มไปด้วยเกาะน้อยใหญ่ดาษดื่น และเขตป่าที่อยู่ชานเมือง ส่วนเคเบิ้ลคาร์ในเมืองหลวงเวลลิงตัน ก็จะพาคุณขึ้นไปบนเนินเขาที่มีวิวแบบพาโนรามาสุดลูกหูลูกตา การนั่งเครื่องบินเล็กนั้น จะช่วยให้คุณได้ชมทิวทัศน์ของภูเขาไฟหรือยอดเขา แอล์ปส์ตอนใต้ที่มีหิมะปกคลุมอยู่ทั่ว และยังมีเจ็ทโบ๊ทซาฟารีที่จะพาคุณแล่นฉวัดเฉวียนไปตามลำน้ำผาดโผน ผ่านช่องแคบของหน้าผาสูงชัน กระตุ้นต่อมอะดรีนาลีนของคุณได้ดีทีเดียว

นอก จากนี้ การเข้าถึงธรรมชาติอย่างใกล้ชิดจะทำให้คุณได้ชื่นชมกับความสวยงามที่แปลกตา ได้ดียิ่งขึ้น อาทิ ความโดดเด่นของก้อนหิน Wairere Boulders หินงอกหินย้อยในถ้ำไวโตโม่ หรือบริเวณภูเขาไฟที่ห่อหุ้มด้วยกำมะถัน และยังคงมีควันไฟคุกรุ่นอยู่เป็นหย่อมๆ ที่ไวท์ไอส์แลนด์ (White Island)

สวน สัตว์เปิดและศูนย์อนุรักษ์พันธุ์สัตว์เป็นอีกที่ ที่จะให้คุณได้ใกล้ชิดกับสัตว์หายากหลากหลายพันธุ์ ซึ่งคุณสามารถแอบอยู่ที่ทางเดินใต้ดินเพื่อดูวิถีชีวิตของนกเพนกวินขณะเดิน เตาะแตะขึ้นฝั่งในตอนเย็น หรือยืนต้านลมบนหน้าผา ขณะที่นกแกนเน็ท(Gannet)หรือนกแอลบราทอส (Albatross) บินโฉบเฉี่ยวไปมาอย่างเพลิดเพลิน

ค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวในนิวซีแลนด์
มีสถานที่ท่องเที่ยวที่โดดเด่นในนิวซีแลนด์กว่า 32 แห่ง แสดงทั้งหมด
สนใจข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเทศนิวซีแลนด์ คลิกไปที่www.newzealand.com/thailand

แฮมทาโร่







แฮมทาโร่ แก๊งจิ๋วผจญภัย เป็น การ์ตูนญี่ปุ่น ที่วาดโดย ริสึโกะ คาวาอิ นักวาดการ์ตูน ชาวญี่ปุ่น เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความน่ารักของเหล่า แฮมสเตอร์หลากหลายตัว โดยมีแฮมทาโร่เป็นตัวชูโรง ต่อมาได้ถูกสร้างเป็น อนิเม ออกฉายในประเทศญี่ปุ่น และอีกกว่า 30 ประเทศทั่วโลก

ที่มาและความสำเร็จของแฮมทาโร่

ในเดือน เมษายน ค.ศ. 1997 คาซึฮิโกะ คุโรคาวะ ผู้เป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการของนิตยสารโชงาคุนิเน็งเซ (?????) ในสมัยนั้น ได้เสนอความคิดว่า น่าจะเอาแฮมสเตอร์ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ มาเป็นตัวเอกการ์ตูนบ้าง ประจวบกับที่ตัวผู้แต่ง ริสึโกะ คาวาอิ เองก็เลี้ยงแฮมสเตอร์เป็นสัตว์เลี้ยงอยู่แล้ว การ์ตูนที่มีตัวเอกเป็นแฮมสเตอร์อย่างเรื่อง แฮมทาโร่ จึงได้ถือกำเนิดขึ้นมา
จากนั้นในปี ค.ศ. 2000 แฮมทาโร่ก็ได้ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์อนิเม ออกอากาศทุกวันศุกร์ เวลา 18.30 น. (ตามเวลาประเทศญี่ปุ่น) ทางสถานี ทีวีโตเกียว โดยหลังจากที่ออกฉายก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในหมู่ผู้ชม ทั้งเด็กเล็กและเด็กโต ซึ่งจากความนิยมอย่างล้นหลามในญี่ปุ่นนี้เอง แฮมทาโร่จึงได้ถูกนำไปออกอากาศในหลายๆประเทศ รวมทั้งประเทศไทยด้วย นอกจากนี้ยังถูกสร้างเป็นภาพยนตร์จอเงิน OVA และ เกมอีกหลากหลายภาค ส่งผลให้แฮมทาโร่กลายเป็นตัวการ์ตูนยอดฮิตอีกตัวหนึ่งที่โด่งดังมากไม่แพ้ โดราเอมอน หรือ โปเกมอน เลย

ข้อมูลพื้นฐานของแฮมทาโร่

ชื่อญี่ปุ่น ฮามุทาโร่

ชื่ออังกฤษ Hamtaro

เพศ ผู้

วันเกิด 6 สิงหาคม

ราศี สิงห์

สูง 8.6 ซม.

ลักษณะนิสัย แฮมสเตอร์ตัวน้อยที่เข้าใจความรู้สึกของคนอื่นเป็นอย่างดี มีนิสัยร่าเริง และมักจะมองโลกในแง่ดีเสมอ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น เป็นฮีโร่ในดวงใจของแฮมสเตอร์ทุกตัว ชอบริบบ้อนจัง และตัวริบบ้อนจังเองก็ชอบเขาด้วยเหมือนกัน

ผู้แต่ง ริสึโกะ คาวาอิ

แนวการ์ตูน ครอบครัว



แฮมทาโร่ แก๊งจิ๋วผจญภัย (ญี่ปุ่น: とっとこハム太郎 Tottoko Hamutarō ?) เป็น การ์ตูนญี่ปุ่น ที่วาดโดย ริสึโกะ คาวาอิ นักวาดการ์ตูนชาวญี่ปุ่น เรื่องราวเกี่ยวกับความน่ารักของเหล่าแฮมสเตอร์หลากหลายตัว โดยมีแฮมทาโร่เป็นตัวชูโรง ต่อมาได้สร้างเป็นอะนิเมะ ออกฉายในประเทศญี่ปุ่น และอีกกว่า 30 ประเทศทั่วโลก

ที่มาและความสำเร็จของแฮมทาโร่

ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1997 คาซึฮิโกะ คุโรคาวะ ผู้เป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการของนิตยสารโชงะคุนิเน็งเซ (小学二年生) ในสมัยนั้น ได้เสนอความคิดว่า น่าจะเอาแฮมสเตอร์ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของเด็กๆ มาเป็นตัวเอกการ์ตูนบ้าง ประจวบกับที่ตัวผู้แต่ง ริสึโกะ คาวาอิ เองก็เลี้ยงแฮมสเตอร์เป็นสัตว์เลี้ยงอยู่แล้ว การ์ตูนที่มีตัวเอกเป็นแฮมสเตอร์อย่างเรื่อง แฮมทาโร่ จึงได้ถือกำเนิดขึ้นมา

จากนั้นในปี ค.ศ. 2000 แฮมทาโร่ก็ได้รับการสร้างเป็นภาพยนตร์อะนิเมะ ออกอากาศทุกวันศุกร์ เวลา 18.30 น. (ตามเวลาประเทศญี่ปุ่น) ทางสถานีทีวีโตเกียว โดยหลังจากที่ออกฉายก็ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในหมู่ผู้ชม ทั้งเด็กเล็กและเด็กโต ซึ่งจากความนิยมอย่างล้นหลามในญี่ปุ่นนี้เอง แฮมทาโร่จึงได้ออกอากาศในหลายๆประเทศ รวมทั้งประเทศไทยด้วย นอกจากนี้ยังสร้างเป็นภาพยนตร์จอเงิน OVA และเกมอีกหลากหลายภาค ส่งผลให้แฮมทาโร่กลายเป็นตัวการ์ตูนยอดฮิตอีกตัวหนึ่งที่โด่งดังมากไม่แพ้ โดราเอมอน หรือ โปเกมอน เลย

ตัวละคร



บ้านฮารุนะ

  • แฮมทาโร่ (ชื่อญี่ปุ่น:ハム太郎, ฮามุทาโร่ / ชื่ออังกฤษ:Hamtaro) เพศผู้ เกิดวันที่ 6 สิงหาคม ราศีกรกฎ สูง 8.6 ซม.
แฮมสเตอร์ตัวน้อยที่เข้าใจความรู้สึกของคนอื่นๆเป็นอย่างดี มีนิสัยร่าเริง และมักจะมองโลกในแง่ดีเสมอ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น เป็นฮีโร่ในดวงใจของแฮมสเตอร์ทุกตัว ชอบริบบ้อนจัง และตัวริบบ้อนจังเองก็ชอบเขาด้วยเหมือนกัน (CV:คุรุมิ มามิยะ)
  • ฮารุนะ ฮิโรโกะ หรือ โรโกะจัง (ชื่อญี่ปุ่น:春名ヒロ子 / ชื่ออังกฤษ:Laura Haruna)
เจ้าของแฮมทาโร่ เรียนอยู่ชั้น ป.5 เป็นเด็กสาวที่ร่าเริงแจ่มใส มีจิตใจอ่อนโยน แอบชอบคิมูระคุงอยู่ แต่โรแบร์โต้ก็ทำให้จิตใจของเธอหวั่นไหวอยู่เหมือนกัน สูง153ซม.หนัก37กก. (CV:ฮารุนะ อิเคซาวะ)
  • ฮารุนะ ฮิโรมิ (ชื่อญี่ปุ่น:春名ヒロミ / ชื่ออังกฤษ:Marian Haruna)
แม่ของโรโกะจัง เป็นนักจัดดอกไม้ สูง178ซม.หนัก39กก. (CV:เร ซาคุมะ)
  • ฮารุนะ ยูเมะทาโร่ (ชื่อญี่ปุ่น:春名ユメ太郎 / ชื่ออังกฤษ:Forrest Haruna)
พ่อของโรโกะจัง เป็นบรรณาธิการนิตยสาร (CV:ฮิโรชิ อิโซเบะ)
  • ดอนจัง (ชื่อญี่ปุ่น:どんちゃん / ชื่ออังกฤษ:Brandy)
สุนัขที่บ้านโรโกะจังเลี้ยงไว้ ชื่อเต็มๆว่า แบรนดอน มีนิสัยสงบเสงี่ยมเรียบร้อย ชอบนอนกลางวันเป็นงานอดิเรก เป็นเพื่อนที่ดีของพวกแฮมทาโร่ เคยช่วยพวกแฮมทาโร่ให้รอดพ้นจากอันตรายมาหลายครั้งหลายครา (CV:ริคาโกะ ไอคาวะ)

บ้านอิวาตะ

  • โคชิ หรือโคชิคุง (ชื่อญี่ปุ่น:こうしくん / ชื่ออังกฤษ:Oxnard) เพศผู้ เกิดวันที่ 3 พฤษภาคม ราศีเมษ สูง 10 ซม.
แฮมสเตอร์ลายวัว (ชื่อโคชิ มาจาก โคะอุชิ ที่แปลว่าลูกวัว) ที่มีนิสัยสงบเสงี่ยมเรียบร้อย ขี้อาย ชอบกินอยู่ตลอดเวลา จึงมักจะถือเมล็ดทานตะวันติดตัวเอาไว้เสมอไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม (CV:ริคาโกะ ไอคาวะ)
  • อิวาตะ คานะ หรือ คานะจัง (ชื่อญี่ปุ่น:岩田カナ, อิวะตะ คะนะ)
เจ้าของโคชิคุง เป็นเพื่อนสนิทกับโรโกะจัง เนื่องจากบ้านอยู่ใกล้ๆกัน แถมยังเรียนอยู่ห้องเดียวกันอีกด้วย คานะจังมีนิสัยอ่อนโยน รักแฮมสเตอร์ และชอบวาดภาพมาก สูง150ซม.หนัก42กก. (CV:ไอ อุจิคาวะ)
  • แพนด้า หรือแพนด้าคุง (ชื่อญี่ปุ่น:パンダくん / ชื่ออังกฤษ:Panda) เพศผู้ เกิดวันที่ 8 เมษายน ราศีมีน สูง 8.8 ซม.
มีลายขาว-ดำ เหมือนกับหมีแพนด้า ชอบสร้างและประดิษฐ์สิ่งของมาก เป็นเหมือนวิศวกรประจำกลุ่มแฮมแฮม อนาคตฝันอยากเป็นช่างไม้ (CV:ยูโกะ ไซโต้)
  • อิวาตะ โมโมะ หรือโมโมะจัง (ชื่อญี่ปุ่น:岩田モモ / ชื่ออังกฤษ:Mimi)
เจ้าของแพนด้าคุง เรียนอยู่ชั้นอนุบาล เป็นญาติกับคานะจัง สูง130ซม.หนัก14กก. (CV:ยูโกะ ซาซาโมโตะ)
  • อิวาตะ ทาเคโซ (ชื่อญี่ปุ่น:岩田竹蔵)
พ่อของโมโมะจัง เป็นลูกพี่ลูกน้องกับพ่อของคานะจัง และเป็นประธานบริษัทก่อสร้าง มีนิสัยดื้อ หัวรั้น แต่ก็ขี้แยเป็นบางครั้ง (CV:จูโรตะ โคสุงิ)
  • จ๊ะจ๋าแฮม หรือจ๊ะจ๋าแฮมจัง (ชื่อญี่ปุ่น:じゃじゃハムちゃん / ชื่ออังกฤษ:Pepper) เพศเมีย เกิดวันที่ 1 มกราคม ราศีธนู
แฮมสเตอร์อารมณ์ดีที่อาศัยอยู่ที่ฟาร์มฟลาเวอร์ เป็นแฟนสาวของโคชิคุง (CV:โมโตโกะ คุมาอิ)
  • ไดสุเกะ (ชื่อญี่ปุ่น:ダイスケ)
ญาติของคานะจัง เป็นผู้ดูแลจ๊ะจ๋าแฮมจังและเหล่าสัตว์ที่ฟาร์มฟลาเวอร์ (CV:เรียวทาโร่ โอคิอายุ)

บ้านโอฮาระ

  • ลาปิส หรือลาปิสจัง (ชื่อญี่ปุ่น:ラピスちゃん / ชื่ออังกฤษ:Lapis) เพศเมีย เกิดวันที่ 9 กรกฎาคม ราศีเมถุน สูง 7.5 ซม.
พี่สาวของลาซูรี่จัง อาศัยอยู่ที่บ้านจิวเวลรี่เฮ้าส์ ชอบของสวยๆ งามๆ ที่ส่องเป็นประกาย เช่น พวกอัญมณี เป็นคนที่ค่อนข้างเข้มงวดและจริงจังกับชีวิต แต่ก็มักจะใจอ่อนให้กับน้องสาวเสมอ (CV:ซาเอโกะ จิบะ)
  • ลาซูรี่ หรือลาซูรี่จัง (ชื่อญี่ปุ่น:ラズリーちゃん / ชื่ออังกฤษ:Lazuli) เพศเมีย เกิดวันที่ 7 กันยายน ราศีสิงห์
น้องสาวของลาปิสจัง เป็นผู้ที่สร้างดินแดนขนมหวาน "สวีทพาราไดซ์" ขึ้นมา มักจะตั้งใจค้นคว้าและทำขนมหวานที่มีอิทธิฤทธิ์มหัศจรรย์ออกมาอยู่เสมอ มีความสนิทสนมกับสนูซเซอร์คุงเป็นอย่างมาก (CV:อาคาเนะ โอมาเอะ)
  • โอฮาระ มากิ หรือมากิจัง (ชื่อญี่ปุ่น:大原マキ, โอฮะระ มะกิ)
เด็กสาวมาดทอมบอยที่ย้ายโรงเรียนมา เป็นเจ้าของลาพิสจังกับลาซูลี่จัง เรียนอยู่ห้องเดียวกับโรโกะจังและคานะจัง เนื่องจากที่บ้านเป็นคณะละครสัตว์เคลื่อนที่ เลยมีสัตว์เลี้ยงอยู่มากมายหลายชนิด แถมยังเคยเดินทางไปแสดงมาแล้วทั่วโลก จึงสามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่ว (CV:ฟุมิโกะ โอริคาสะ)
  • โอฮาระ คาซึยะ (ชื่อญี่ปุ่น:大原カズヤ)
พี่ชายของมากิจัง เป็นคนที่คานะจังแอบชอบอยู่ (CV:ยูกิมาสะ โอบิ)
  • คุณปู่ของมากิจัง (マキちゃんのおじいちゃん, มะกิจัง โนะ โอะจีจัง)
ในอดีตเคยท่องเที่ยวไปทั่วโลก และได้ช่วยเหลือ พร้อมกับพา ลาพิสจัง กับ ลาซูลี่จัง แฮมสเตอร์ 2 พี่น้อง มาอาศัยอยู่ด้วย มีความสนิทสนมกับคุณหมอไลอ้อนมาตั้งแต่สมัยก่อน และสามารถเข้าใจความรู้สึกของสัตว์ได้เหมือนกับคุณหมอไลอ้อน (CV:จุนเป ทากิงุจิ)
  • คุมะจิโร่ (ชื่อญี่ปุ่น:クマ次郎)
ลูกหมีที่มากิจังเลี้ยงไว้

ตัวละครอื่นๆ

แฮมสเตอร์

  • ผู้เฒ่าแฮม (ชื่อญี่ปุ่น:長老ハム, โจโรฮามุ / ชื่ออังกฤษ:Elder Ham)
แฮมสเตอร์รุ่นอาวุโสที่มีอายุมากที่สุด ชอบเผลองีบหลับในเวลาที่กำลังพูด และมักจะหาเรื่องอำพวกแฮมสเตอร์รุ่นเด็กให้ตกใจเล่นอยู่เสมอ (CV:ทัตสึยูกิ อิชิโมริ)
  • คุณย่าแฮม (ชื่อญี่ปุ่น:おハムばあさん, โอฮามุบาซัง / ชื่ออังกฤษ:Auntie Viv)
แม้จะอายุมากแล้ว แต่ก็เป็นแฮมสเตอร์ที่อารมณ์ดี สุขภาพแข็งแรงและกระฉับกระเฉงจนดูไม่สมกับวัย รู้จักมักคุ้นกับผู้เฒ่าแฮมมาตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อน (CV:มาซาโกะ โนซาวะ)
  • โอเอซิส หรือโอเอซิสคุง (ชื่อญี่ปุ่น:オアシスくん / ชื่ออังกฤษ:Omar) เพศผู้
มีใบหน้าคล้ายกับสนูซเซอร์คุง เติบโตมาในครอบครัวที่มั่งคั่ง มักจะออกเดินทางไปรอบโลกพร้อมกับ คาเมะโซ เต่าคู่หู (CV:ฮิโรมิ อิชิคาวะ)
แม้จะมีใบหน้าคล้ายพวกยากูซ่า แต่จริงๆแล้วเป็นแฮมสเตอร์ที่ใจดีและพึ่งพาได้ ทำอาชีพร้านรถเข็นแผงลอย (CV:โทโมฮิโระ นิชิมูระ)
เป็นแฮมสเตอร์ของคุรมิจัง ดาราไอดอลชื่อดัง จึงค่อนข้างหยิ่งและถือตัวเล็กน้อย แรกๆไม่ค่อยชอบพวกกลุ่มแฮมแฮมเท่าไหร่นัก แต่ภายหลังก็เริ่มชอบแฮมทาโร่ และพยายามหาทางทำให้แฮมทาโร่หันมาสนใจตนเองให้ได้ เวลาพูดมักจะใช้คำลงท้ายประโยคว่า "นะคะ" เสมอ (CV:มาซาโกะ โจ)
  • ติ๊ดติด หรือติ๊ดติดคุง (ชื่อญี่ปุ่น:ぬけないくん, นุเคไนคุง/ ชื่ออังกฤษ:Stucky) เพศผู้ เกิดวันที่ 10 ตุลาคม ราศีกันย์
แฮมสเตอร์ที่ลำตัวติดอยู่ในท่อและไม่สามารถออกมาได้ เลยต้องไปไหนมาไหนพร้อมกับท่อ (นุเคไน แปลว่า ถอดไม่ออก) มีความสามารถในการเล่นซ่อนแอบมาก เป็นเพื่อนสนิทกับแค็ปปี้คุง (CV:ฟูจิโกะ ทากิโมโตะ)
  • เมกาจิโร่ หรือเมกาจิโร่คุง (ชื่อญี่ปุ่น:メカじろう / ชื่ออังกฤษ:Robo Joe)
หุ่นยนต์แฮม สเตอร์ที่คุณปู่ของโรโกะจังเป็นผู้ประดิษฐ์ขึ้น มีฟังค์ชั่นพิเศษ สามารถเรียนรู้และพูดภาษามนุษย์กับภาษาแฮมสเตอร์ได้ แต่กลุ่มแฮมแฮมไม่รู้ว่าเมกาจิโร่เป็นหุ่นยนต์ เลยมองว่าเขาเป็นแฮมสเตอร์ที่แปลกประหลาด
  • เนิร์ส หรือเนิร์สจัง (ชื่อญี่ปุ่น:ナースちゃん / ชื่ออังกฤษ:Flora) เพศเมีย เกิดวันที่ 9 กันยายน ราศีสิงห์
แฮมสเตอร์ของคุณหมอไลอ้อน ทำหน้าที่เป็นพยาบาลผู้ช่วยของคุณหมออยู่ที่โรงพยาบาลสัตว์เคลื่อนที่ไลอ้อน มีจิตใจโอบอ้อมอารี และตั้งใจทำงานมาก ตามต้นฉบับเดิมแล้ว เนิร์สจังจะเป็นแฟนกับโทร่าแฮมคุง แต่ในภาคอะนิเมะได้มีการเปลี่ยนแปลงบทใหม่ (CV:ฮารุฮิ เทราดะ)
  • นิจิแฮม หรือนิจิแฮมคุง (ชื่อญี่ปุ่น:にじハムくん / ชื่ออังกฤษ:Prince Bo) เพศผู้ เกิดวันที่ 24 กรกฎาคม ราศีกรกฎ
เจ้าชายแห่งอาณาจักรสายรุ้ง เป็นแฮมสเตอร์ที่บินได้เพราะมีปีกที่กลางหลังเหมือนกับแมลงเต่าทอง และสามารถสร้างสายรุ้งได้ด้วยร่มสายรุ้งที่พกติดตัวไว้ตลอดเวลา (นิจิ แปลว่า สายรุ้ง) (CV:ฮิโรโกะ ทางุจิ)
  • อุคิแฮม หรืออุคิแฮมคุง (ชื่อญี่ปุ่น:ウキハムくん / ชื่ออังกฤษ:Ook-Ook) เพศผู้
แฮมสเตอร์รูปร่างหน้าตาคล้ายลิงที่เติบโตมากับฝูงลิง จึงสามารถพูดได้แต่ภาษาลิง (อุคิ เป็นเสียงร้องของลิงในภาษาญี่ปุ่น) เป็นเพื่อนสนิทกับไทโฮคุง (CV:ริเอะ คุงิมิยะ)
  • ไทโฮ หรือไทโฮคุง (ชื่อญี่ปุ่น:たいほくん / ชื่ออังกฤษ:Buster) เพศผู้
เป็นแฮมสเตอร์ที่แต่งองค์ทรงเครื่องคล้ายตำรวจ และคอยช่วยดูแลรักษาความสงบเหมือนกับตำรวจ (ไทโฮ แปลว่า จับกุมตัว) เป็นเพื่อนสนิทกับอุคิแฮมคุง (CV:วาซาบิ มิซึตะ)
  • คาเมะแฮม หรือคาเมะแฮมคุง (ชื่อญี่ปุ่น:カメハムくん / ชื่ออังกฤษ:Seamore) เพศผู้
เป็นแฮมสเตอร์ที่แบกกระดองเต่าไว้ที่หลัง (คาเมะ แปลว่า เต่า) มีความสามารถพิเศษแตกต่างจากแฮมสเตอร์ตัวอื่นๆ ตรงที่สามารถว่ายน้ำได้ แต่ไม่ถูกกับอากาศหนาว ปัจจุบันเหมือนจะเป็นแฟนกับโพนี่เทลจัง (CV:ยูจิ อุเอดะ)
  • โพนี่เทล หรือโพนี่เทลจัง (ชื่อญี่ปุ่น:ポニーテールちゃん / ชื่ออังกฤษ:Barette) เพศเมีย
เป็นแฮมสเตอร์ของอาจารย์สอนถักไหมพรม มีความสามารถในการถักไหมพรมมาก ปัจจุบันเหมือนจะเป็นแฟนกับคาเมะแฮมคุง (CV:จิเอมิ จิบะ)

มนุษย์

  • จุน หรือจุนจัง (ชื่อญี่ปุ่น:ジュンちゃん / ชื่ออังกฤษ:June)
เจ้าของแพชจัง เป็นเพื่อนร่วมชั้นของโรโกะจัง สนิทกับเคียวโกะจัง ถนัดด้านการถักไหมพรม (CV:คาโอริ มาโทอิ)
  • เคียวโกะ หรือเคียวโกะจัง (ชื่อญี่ปุ่น:キョウコちゃん / ชื่ออังกฤษ:Kylie)
เจ้าของจิบิมารุจัง เป็นเพื่อนร่วมชั้นของโรโกะจัง สนิทกับจุนจัง ถนัดด้านการทำอาหาร (CV:โทโมโกะ อิชิมูระ)
  • คิมูระ ไทจิ หรือคิมูระคุง (ชื่อญี่ปุ่น:木村太一 / ชื่ออังกฤษ:Travis)
เพื่อนร่วมชั้นที่โรโกะจังแอบชอบอยู่ สังกัดชมรมฟุตบอล เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา หัวดี นิสัยอ่อนโยน ตัวสูง เล่นฟุตบอลเก่ง ป๊อปปูลาร์ในหมู่สาวๆมาก ภายหลังได้ย้ายไปอยู่ลอนดอนตามงานของพ่อ (CV:ยู อาซาคาวะ)
  • มาเรีย หรือมาเรียจัง (ชื่อญี่ปุ่น:マリアちゃん)
เจ้าของริบบ้อนจัง เป็นคุณหนูในครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย อาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังใหญ่ เล่นเปียโนเก่งมาก (CV:เมงุมิ โทโยงุจิ)
  • คุริฮาระ คุรุมิ หรือคุรุมิจัง (ชื่อญี่ปุ่น:栗原くるみ, คุริฮะระ คุรุมิ / ชื่ออังกฤษ:Glitter)
เจ้าของคุรุรินจัง เรียนอยู่ชั้น ป.3 เป็นดาราไอดอลที่ถือตัวเล็กน้อย แอบชอบคิมูระคุงอยู่ เลยมองว่าโรโกะจังเป็นคู่แข่งที่จะมาแย่งคิมูระคุงกับตนเอง (CV:จินามิ นิชิมูระ แต่ภายหลังเปลี่ยนเป็น โทโมเอะ ฮันบะ)
  • โรแบร์โต้ ทาคางิ (ชื่อญี่ปุ่น:ロベルト高城 / ชื่ออังกฤษ:Roberto)
เพื่อนร่วมชั้นของโรโกะจังที่กลับมาจากบราซิล สังกัดชมรมฟุตบอล เป็นคู่กัดกับโรโกะจัง เนื่องจากพออ้าปากพูดได้ไม่กี่คำ เป็นต้องทะเลาะกันทุกที ที่บ้านไม่มีแฮมสเตอร์ แต่เป็นเจ้าของสุนัขชื่อแซมบ้า (CV:ซาจิ มัตสึโมโตะ)
  • ฮิคาริ หรือคุณฮิคาริ (ชื่อญี่ปุ่น:ヒカリさん, ฮิคะริซัง / ชื่ออังกฤษ:Hillary)
นักศึกษามหาวิทยาลัยผู้เป็นเจ้าของโทระแฮมจัง เป็นนักกีฬายิมนาสติกลีลาใหม่ที่มีความสามารถมาก (CV:ยูโกะ คาโต้)
  • โนริโอะ หรือคุณโนริโอะ (ชื่อญี่ปุ่น:ノリオさん, โนะริโอะซัง / ชื่ออังกฤษ:Noel)
เจ้าของโทระแฮมคุง เป็นผู้ฝึกสอนในฟิตเนสที่คุณฮิคาริไปออกกำลังกายเป็นประจำ แอบชอบคุณฮิคาริอยู่ แต่เป็นคนขี้อาย เลยไม่กล้าบอกรักสักที (CV:โนบุยูกิ ฮิยามะ)
  • นานิวะ มิยาโกะ (ชื่อญี่ปุ่น:浪花 都)
เจ้าของร้านสะดวกซื้อ "นานิวะโชเต็น" แม่ของซาดาคิจิ เป็นแฟนตัวยงของทีมเบสบอลดัง ฮันชินไทเกอร์ส เวลาที่ทีมชนะเลิศการแข่งขันประจำลีกในฤดูกาล จะลดราคาสินค้าในร้านแบบสะบั้นหั่นแหลกเพื่อเป็นการฉลองชัย เป็นเพื่อนกับคุณโจจิมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน (CV:คาโอรุ โมโรตะ)
  • นานิวะ ซาดาคิจิ หรือซาดาคิจิคุง (ชื่อญี่ปุ่น:浪花サダ吉)
ลูกชายของคุณมิยาโกะ เป็นเจ้าของไมโดะคุง เรียนอยู่ห้องเดียวกับยูเมะจัง เป็นแฟนตัวยงของทีมฮันชินไทเกอร์ส เหมือนกับแม่ ให้ความเคารพและนับถือคุณโจจิมาก (CV:จิยาโกะ ชิบาฮาระ)
  • โจจิ หรือคุณโจจิ (ชื่อญี่ปุ่น:丈二さん, โจจิซัง)
เจ้าของร้านขายแว่นตา "มิลาโน" ผู้เป็นเจ้าของแว่นน้อย เป็นเพื่อนกับคุณมิยาโกะมาตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียน (CV:คาซึฮิโระ ยามาจิ)
  • ยูเมะ หรือยูเมะจัง (ชื่อญี่ปุ่น:ユメちゃん)
เจ้าของพี่โย่ง เป็นลูกสาวเจ้าของร้านหนังสือ เรียนอยู่ห้องเดียวกับซาดาคิจิคุง ชอบแต่งนิทานมาก (CV:ทาเอโกะ คาวาตะ)
  • ซาเอะและยู หรือคุณซาเอะและคุณยู (ชื่อญี่ปุ่น:サエさん, ซะเอะซัง ; ユウさん, ยูซัง)
เจ้าของร้านขายของชำ ผู้เป็นเจ้าของแพนด้าคุง ทั้งคู่ให้ความเอ็นดูแพนด้าคุงเป็นอย่างดีเหมือนกับลูกแท้ๆ (CV:เฮียวเซ (คุณซาเอะ) , โทคุโยชิ คาวาชิมะ (คุณยู))
  • คุณหมอไลอ้อน (ชื่อญี่ปุ่น:ライオン先生, ไรองเซ็นเซ)
เจ้าของเนิร์สจัง เป็นสัตวแพทย์ที่มีชื่อเสียง และเป็นเจ้าของโรงพยาบาลสัตว์เคลื่อนที่ไลอ้อนด้วย (CV:มาซาชิ เอบาระ)

สัตว์เลี้ยง

  • แซมบ้า (ชื่อญี่ปุ่น:サンバ)
สุนัขของโรแบร์โต้ (CV:เร ซาคุมะ)
  • ลินลี่ (ชื่อญี่ปุ่น:リリィ)
สุนัขของมาเรียจัง (CV:ฟุยุกะ โออุระ)





วันเสาร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2553

แบดมินตัน

ประวัติแบดมินตัน ประวัติกีฬาแบดมินตัน Badminton แบดมินตัน ประวัติกีฬาแบดมินตัน

จุดเริ่มต้นของกีฬาการเล่นลูกขนไก่ แบดมินตัน แบบเก่าที่เรียกว่า battledore ซึ่งต่อมาก็ได้กลายเป็นการ เล่นแบดมินตันอย่างที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ เป็นอดีตที่สูญหายไปในประวัติศาสตร์การกีฬา ซึ่งแม้ ว่าจะมีการค้นคว้า อย่างหนักก็ตามก็ค้นพบหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับกีฬาที่ว่านี้น้อยมาก หลักฐาน ที่พอจะค้นพบได้ก็คือ ลูกขนไก่แบบ หยาบๆ กับไม้หลายขนาด เป็นรูปทรงที่ไม่สามารถ เรียกว่า แร็กเกต อย่างในปัจจุบันนี้ ได้เลย

รูปแบบ การเล่นกีฬาเก่าแก่อันนี้ในอังกฤษ ช่วงปลาย ศตวรรษ ที่ 14 นั้น ใช้ผู้เล่น สองคนตีได้ลูก ที่ดูคล้ายจรวดด้วยไม้หนาๆ พอมาถึงในศตวรรษที่ 17 แบบ การเล่นและอุปกรณ์ในฝรั่งเศส, สวีเดน และประเทศแถบอื่นๆ ในยุโรป ต่างก็แสดงให้เห็น ถึงชนิดของอุปกรณ์การเล่นตามแบบ อดีตอันเก่าแก่ และมีการเล่นกันอย่างแพร่หลายในหมู่คน ทุกชนชั้นในหลาย ๆ ประเทศในช่วงเริ่มแรกของการกำเนิดลูกขนไก่ และรวมทั้งเกมการเล่นด้วยนั้น ได้รับความรู้จักกันใน ฐานะของลูกบอลขนไก่ มีลักษณะคล้ายลูกบอล เส้น ผ่าศูนย์กลางราว 1 นิ้วครึ่ง ทำจากผ้า, ขนสัตว์ หรืออาจจะเป็นขนไก่ นิ่มที่อัดแน่นเป็นก้อน ใช้แทนลูกขนไก่แบบหยาบในขณะเดียวกัน ลูก กอล์ฟ ในสมัยโบราณก็ใช้วิธีการทำเช่นเดียวกันนี้ และเป็นที่รู้จักกันดีว่าน้ำหนัก ของลูกขนไก่นี้ ต้องหนักเท่ากับจำนวนขนไก่ที่ใส่เอาไว้ในหมวกทรงสูงจน เต็ม ลูกขนไก่ยุคดั้งเดิมนี้มีชื่อเรียก แตกต่างกันออกไป เพราะสามารถทำ ตามรูปร่าง และขนาดได้หลายแบบ เพราะผู้เล่นแต่ละกลุ่มก็มีความคิดเป็น ของตัวเองว่าจะตีลูกแบบไหนถึงจะคล่องมือ แต่โดยทั่วไปแล้วที่ฐานจะทำ จากไม้แล้วมีขนไก่ติดอยู่อย่างไม่จำกัดจำนวน ในยุคนั้น ยังมีปัญหาเกี่ยวกับ การขลิบให้ขนไก่มีระดับเท่ากัน ขนไก่จึงยาวมากแล้วก็ใช้แต่ขน นกเพียง อย่างเดียว อีกอย่างหนึ่งคือ แม้ว่าในยุคนั้นคนในยุโรป และโรมันต่างก็รู้ จักใช้ ไม้ก๊อกกันแล้ว แต่ในอังกฤษกลับมีการพัฒนาการใช้ไม้ก๊อกกับลูกขนไก่ช้า มาก มีการบันทึกกันอย่างเป็นหลักฐานว่า ฝรั่งเศสเพิ่งส่งไม้ก๊อกมาให้อังกฤษ ก็ตอนปี 1780 เข้าไปแล้ว มาในรูปของฝากจุกแชมเปญนั่นแหละ ในช่วงต้นศตวรรษที่ 18 ก็มี ข้อยืนยันเกี่ยวกับลูกขนไก่ที่ค่อนข้างเหมือนฝาจุก แชมเปญมาก ซึ่งก็คงมาจากการ ที่คนอังกฤษรู้ว่าไม้ก๊อกมีประโยชน์มากอย่างไร แทนที่จะใช้ไม้ที่หนักกว่า แต่ขนไก่ ก็ยังคงเป็น ส่วนประกอบที่สำคัญของลูกขนไก่ มานานนับศตวรรษตั้งแต่ยุคเริ่มแรก ของการเล่นเกมการแข่งขันชนิดนี้แล้ว

แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานยืนยัน แต่อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า การพัฒนาการใช้ขนไก่นั้น คงมาจากการใช้ ปากกา ขนนกของคนในสมัยโบราณด้วย ขณะที่ใช้ทำปากกาส่วนมากจะใช้ขนตรงปีก ของห่าน เพราะมีความยาว และแข็ง แรงกว่าขนนก หรือขนไก่นอกจากนี้ยังสามารถ ตัดให้สั้น หรือนำมาตกแต่งได้มาก จึงเหมาะที่จะนำมาใช้เป็นลูกขนไก่ แล้วก็มีอายุการ ใช้งานใน การเล่นได้นานมาก ด้วย รูปร่างของลูกขนไก่ในสมัยเริ่มแรกนั้น เป็นสิ่งที่ค่อนข้างจะ น่าสนใจมากพสมควร แม้ว่าจะไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับประโยชน์การใช้งาน ในยุคเริ่ม แรก เพื่อการนำมาวิเคราะห์ในเรื่องแบบของลูกขนไก่ยุคนั้นก็ตามแต่หลักฐาน เริ่มแรกนั้นเริ่มขึ้นในฝรั่งเศสในการเล่นกีฬาที่ต้องใช้แร็กเกตนั้น มีการ เปลี่ยนแปลง เพียงเล็กน้อยจากปัจจุบันเพียงแต่การออกแบบลูกขนไก่ที่ว่านี้ ยังเป็น ปริศนาที่ยัง ไม่มีใครสามารถไขได้ เช่นเดียวกับลูกเทนนิสในยุคเริ่มแรก แม้ว่าวิถี การพุ่งของ ลูกจะแตกต่างกัน ลูกขนไก่ในสมัยนั้น นิยมใช้เล่นกันกลางแจ้ง และเป็น ลูกบอลขนนกบางทีก็ไม่มีน้ำหนักมากนัก ทำให้ลูกปลิวตาม ลมไกลเกินไป ยากแก่การ ตามเก็บ ทำให้มีคนพยายามที่จะออกแบบลูกขนไก่แบบใหม่ที่มีประสิทธิภาพในการตีโต้ ได้ดีขึ้นให้จงได้ จากบันทึกเกี่ยวกับเรื่องของลูกขนไก่ซึ่งพบที่แบดบินตันเฮ้าส์ ที่ประทับ ของดุ๊กส์ แห่งบิวฟอร์ด ในศตวรรษที่ 17 และเป็นสถานที่ซึ่งใช้เป็นชื่อเรียกการแข่งขัน ชนิดนี้ในเวลาต่อมาพบว่าเกมในยุคนั้น ยึดถือเอาการตีโต้โดยไม่ให้ลูกตกดิน ระหว่าง ผู้เล่นทั้งสองให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ บางทีระยะการลอยของลูกก็ไม่ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ ต่อกติกา และจากบันทึกภายในครอบครัวนั้น พบว่ามีผู้หญิงซึ่งเป็นสมาชิก 2 คน สามารถตีโต้กันได้นานถึง 2,000 ครั้ง โดยที่ลูกไม่ตกลงพื้น ในช่วงปี 1860 มีการถก เถียงกันในกลุ่มนักตีลูกขนไก่ทั้งหลาย เพื่อค้นหาวิธีการเล่นที่น่าสนใจเพิ่มมากขึ้น โดยการใช้ เชือกขึงตรงกลาง แล้วก็ใช้วิธีตีโต้ข้ามเชือกไปมา แต่ยังไม่มีการกำหนด เขตแดนอยู่เหมือนเดิม กีฬาแบดมินตันในยุคเริ่มแรกก็เกิดขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา โดยรับความนิยมอย่าง มากจากเด็ก และผู้ใหญ่ มีลูกขนไก่แบบโบราณซึ่งอยู่ในสภาพ ดีเป็นจำนวนมาก ถูกเก็บรักษาเอาไว้ที่แบดมินตันเฮ้าส์ มีทั้งรูปร่างและขนาดแตกต่าง กันออกไป แต่ก็ล้วนแล้วแต่ใหญ่และหนักกว่าลูกขนไก่ในปัจจุบันมาก มีกำมะหยี่หุ้ม ที่ฐาน และผูกริบบิ้นสีสวยเอาไว้ บางอันก็มีขนห่านติดอยู่ซึ่งอาจจะเอามาจากขนปากกา แต่ส่วนมากทำจากขนไก่ ลูกขนไก่เหล่านี้ได้รับการเก็บรักษาอย่างดี แต่คน ที่ได้เห็น คงไม่รู้หรอกว่า กว่าจะเอามันมาเล่นโต้กันได้นี่ ยากลำบากแค่ไหน ในช่วงกลาง ศตวรรษที่ 19 เริ่มมีกฎกติกาในการเล่นเป็นแบบแผน และมีการตกลง กันอย่างเป็น ทางการ มีการกำหนดขนาดและรูปร่างของสนามในการเล่น จำนวน ผู้เล่นในแต่ละฝ่าย รวมทั้งขนาดและน้ำหนักของลูกขนไก่การกำหนดเหล่านี้เริ่ม เป็นรูปเป็นร่างในที่สุดแต่เกมการแข่งขันยังยึดที่จะเล่นกันในกลาง แจ้งเกือบตลอด ทุกครั้ง เกมการแข่งขันลูกขนไก่อันน่าสนุกนี้ ได้รับการเผยแพร่ไกลออกไป จนถึงอินเดีย ช่วงที่ยังเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ โดยเจ้าหน้าที่ทหารอังกฤษ และภรรยาเป็น ผู้ นำการเล่นนี้มาเผยแพร่ลูกขนไก่ที่ผลิตในอินเดีย มักจะทำขึ้นในบริเวณที่ มีการเล่นเป็นงาน ศิลปะเสียเป็นส่วนใหญ่ ใช้ไม้อ่อนหรือไม้ก๊อกอย่างหยาบเป็นฐาน และใช้ขนไก่ ซึ่งทำให้การ ลูกไม่ตรงเท่าที่ควร คนทำลูกขนไก่ส่วนมากต่างก็มีแนวความคิดในการออกแบบของ ตัวเอง ว่าจะต้องดีที่สุด อย่างลูก ขนไก่อันหนึ่งซึ่งทำขึ้นในปี 1865 ถูกเก็บรักษาอย่างดีเอาไว้ใน พิพิธภัณฑ์ ใช้ขนไก่ 36 อัน ยาวอันละ 4 นิ้ว และมี ความกว้าง 5 นิ้วครึ่ง แต่ไม่มีการเย็บรอบ ๆ ขนเพื่อควบคุมการพุ่งของลูก ทำให้ลูกพุ่งได้ไม่ไกลนัก ที่ฐานคลุม ด้วยกำมะหยี่ และเย็บเอาไว้ อย่างเป็นระเบียบ และผูกด้วยเชือกอีกทีหนึ่ง น้ำหนักของลูกขนไก่ลูกนี้มากกว่าหนึ่ง ออนซ์ ใน ขณะที่ลูกขนไก่ในปัจจุบันหนักแค่ 1/5 ออนซ์เท่านั้นเอง แต่ก็ต้องยอมรับว่า มันคงจะเป็นลูก ขนไก่ที่มี ประสิทธิภาพมากในยุคนั้นเพราะยังไงเสียมันก็เป็นหลักฐานแสดงว่าได้รับเป็น ลูก ขนไก่ที่ใช้ในการประกวดการผลิตลูก ขนไก่ ซึ่งได้รับรางวัลชนะเลิศในบรรดาลูกขนไก่ที่มี น้ำหนักมากกว่าทั้งหลาย นอกจากนี้ยังมีลูกขนไก่อีกอันหนึ่งที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้อย่างดีใน พิพิธภัณฑ์เดียวกัน มีขนไก่ 19 อัน ความยาว 3 นิ้ว มีฐานเป็นไม้ก๊อก พื้นเรียบ มีริบบิ้นผูกติด เอาไว้ด้วย แล้วก็เป็นลูก ขนไก่ซึ่งนิยมใช้เล่นกันมากในช่วงปี 1920 ด้วย ต้องนับว่า เรายังโชคดีกว่าคนสมัยก่อนมาก ที่ไม่ต้องออกแรงหวดลูกขนไก่ที่หนักมากอย่างใน สมัยก่อน เพราะไม่งั้นคงมือโตกันไปตาม ๆ กันก่อนแน่ มีช่วงหนึ่งที่คนเล่นในสมัย ก่อนประสบปัญหาที่ว่าแผ่นหนังที่หุ้ม battledore ของ ตัวเองนั้น มีเสียงดังเกินไป ในเวลาเล่น และไม่แข็งแรงพอที่จะทานน้ำหนักที่หนักมากของ ลูกขนไก่เลยทำให้ คนพยายามคิดค้นการใช้เส้นเชือกมาขึงเอาไว้บนเฟรมไม้ตี ตอนแรกนั้น ยังเป็นแค่ เส้นหนังที่ขึงเป็นเส้น ๆ เรียงกัน จนกระทั่งมีคนคิดค้นวิธีการนำเส้นเอ็นมาใช้ แทน การใช้เอ็นขึงบนไม้เริ่มมีขึ้นครั้งแรกในรอยัลเทนนิส ในฝรั่งเศสกีฬาที่มีการก่อตั้งขึ้น ในยุคนั้น แล้วก็ดูเหมือนว่าคนจะคิดใช้ประโยชน์จากเส้นเอ็นสำหรับเครื่องดนตรี เท่านั้นเอง ก่อนที่จะมีการนำมาใช้กับแร็กเกตโดยเฉพาะ มีการบันทึกเอาไว้ว่าการ นำเอาเส้นเอ็นมาขึง บนไม้ตีแบดในอังกฤษเป็นครั้งแรก อยู่ในช่วงปี 1880 หลังจากที่พวกสโมสรชั้นสูงมีการคิด ค้นกันขึ้นมาแล้วก็กลายเป็นที่ยอมรับกัน เพราะมันยืด หยุ่นได้ดีกว่าหนัง และมีอายุการใช้ งานนานเป็นที่น่าพอใจด้วย แล้วก็ช่วงนั้นอีกเหมือนกัน ที่มีคนพยายามจะผลิตลูกขนไก่ให้ ได้มาตรฐาน เพื่อให้มีน้ำหนักเบาขึ้น และให้ขนที่แผ่ออก มานั้นมีวงแคบลง เพื่อจะได้ตีได้ไกล เพิ่ม มากขึ้น พบว่าคอร์ตบางแห่งมีความยาวถึง 55 ฟุต และอาจจะยาวเพิ่มมาก ขึ้นไปอีกแล้ว แต่ความเหมาะสมอย่างเช่น การเล่นคู่ที่ต้องการให้ สะดวกมากที่สุด การพัฒนาทั้งเกมการเล่น และลูกขนไก่เองนั้น เริ่มเกิดขึ้นโดยพวกนาย ทหารอังกฤษที่ประจำการในอินเดีย การเล่นแบดมินตันจากการเผยแพร่ของ พวกเขาทำให้ มันกลายเป็นที่นิยมในอินเดียอย่างแพร่หลาย และการเล่นกันใน กลางแจ้งก็ถือว่าเป็นเรื่อง ที่ธรรมดาเพิ่มมากขึ้น บางที่ก็มีการเล่นกันใน อินเตอร์ โดยเฉพาะในค่ายทหาร เชื่อว่ากฎ เกณฑ์หยาบๆ ในการแข่งขันนั้น มีขึ้นที่เมืองปูนา ในช่วงปี 1874 แต่ก็ยังไม่มีรายละเอียด เกี่ยวกับเรื่องลูกขนไก่ และระยะเขตแดนอย่างไร หลัง จากนั้นไม่นาน ในปีเดียวกัน สโมสร ทหารก็ได้รับ การก่อตั้งขึ้นที่เมืองฟอล์คสโตน ในอังกฤษ ซึ่งใกล้กับป้อมชอร์นคลิฟฟ์ และ เมืองปอร์ตสมัธ

เชื่อว่ามีการเริ่มเล่นอย่างแพร่ หลายโดยพวกทหารทั้งพวกที่ กำลังจะไปประจำการ และพวกที่ ถูกปลดประจำการแล้วพวกที่สโมสรอื่น ๆ ก็เอาตามกันบ้าง แต่เกมการแข่งขัน ในอดีตค่อน ข้างจะเป็นการเล่นกันสนุก ๆ ในปาร์ตี้น้ำชาของบ่ายวันเสาร์ มากกว่าที่จะเป็นเกมการแข่งขัน อย่างจริงจัง ลูกขนไก่ที่ใช้ในช่วงนั้น เป็นลูกที่ยังหยาบอยู่มาก และมีการออกแบบที่แตกต่าง กันออกไป ซึ่งก็แตก ต่างกันออกไปในระยะการลอยของลูก แต่ยังเป็นปัญหาสำหรับผู้เล่นอยู่ มีบทความในนิตยสารฉบับหนึ่ง แนะว่าผู้เล่นควร จะใช้ลูกที่มีน้ำหนักประมาณหนึ่งออนซ์ครึ่ง ถึงสองออนซ์ ก่อนที่จะติดขนไก่เข้าไป ควรเอาไปทากาว แล้วก็ร้อยเชือก เป็นตะเข็บเข้าออก เพื่อช่วยยึดขน ตามความคิดเห็นของบรรดาผู้เชี่ยวชาญนั้นวิธีการนี้จะทำให้ลูกขนไก่ทนทาน มากยิ่งขึ้น และลอยได้ไกลขึ้นด้วย เป็นหลักฐานยืนยันว่าลูกขนไก่ ในสมัยนั้นลอยได้ไกลมาก กว่าลูกขนไก่ในปัจจุบันเสียอีก

ในปี 1893 สมาคมแบดมินตันแห่งอังกฤษก่อตั้งขึ้น และการ แข่งขันแบดมินตันออลอิงแลนด์ก็ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรก ในปี 1899 นช่วงนั้นเองที่ลูกขนไก่ เริ่มมีมาตรฐานเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกับสโมสรที่ก่อตั้งกัน ขึ้นมาใหม่มากมาย แม้ว่าจะ ไม่มี รายละเอียดอะไรมากนัก ลูกขนไก่คุณภาพดีของยุคนั้น บางส่วนผลิตในฝรั่งเศสที่ซึ่งกีฬา แบดมินตันมีการเล่นอยู่ใน บางปี ลูกขนไก่ที่ผลิตขึ้นนั้นมีชื่อว่า “บาร์เรล” เพราะมีลักษณะ เหมือนถึงใช้ขนไก่กันอยู่เหมือนเดิม โดยการสอดเข้าไปในไม้ก๊อก และเอาด้านเรียบของ ขนออกด้านนอก เรียงรอบไม้ก๊อกเป็นวงกลมเหมือนกับรูปถังไม้ ทำให้มันถูกเรียก เช่นนั้น ลูกขนไก่เหล่านี้ส่วนมากเย็บตะเข็บติดเอาไว้ครึ่งหนึ่ง ซึ่งก็ไม่มีประโยชน์อะไรนัก และเย็บรอบ ๆ ยอดของก้านขนที่ฐาน มีการบันทึกเอาไว้เป็นครั้งแรกเกี่ยวกับการเย็บรอบขน เพื่อ ยึดให้แน่น และไม่มีการบันทึกว่าผู้ผลิตเป็นครั้งแรกนี้มี ชื่อว่าอะไร แม้ว่าเขาจะทำให้ลูกขนไก่ได้คุณภาพ และรูปร่างมาตรฐานแล้ว มีการออกแบบสร้างลูกขนไก่อย่างแน่นอนขึ้น แม้ว่าน้ำหนักลูกจะยัง ไม่ใช่สิ่งสำคัญอยู่ เหมือนเดิมก็ตาม ช่วงนั้นที่ฐานของลูกคลุมเอาไว้ด้วย หนังชามัวส์ฝรั่งเศส อย่างดี ส่วนตรงขนก็ทำจากขนไก่ ซึ่งมีความทนทานไม่มากนัก แต่หลังจากนั้นอีกสองสามปี ก็มีการเปลี่ยนมาใช้ขนส่วนปีกของห่านแทนเพราะมันกลายเป็นตำรับอาหาร ชั้นเลิศของชาว ฝรั่งเศสอย่างหนึ่งที่เป็นที่นิยมกันมาก เป็นไปได้ที่ลูกขนไก่ที่ทำ จากขนห่าน รุ่นแรกก็มาจาก ฟาร์มเหล่านี้ ทำให้มันกลายเป็นลูกขนไก่ที่มีคุณภาพ มาก แล้วก็ถูกนำไปใช้ ในโรงงานทำ ลูกขนไก่อย่างกว้างขวาง จนกระทั่งมาเลิก ใช้เมื่อไม่กี่ปีมานี่เอง

ในช่วงที่เพิ่งเริ่มมีการแข่งขัน ใหม่ๆ ในอังกฤษ บรรดาผู้เข้า แข่งต่างก็พากันมีปัญหา กับการลอยของลูกขนไก่บาร์เรลกันมาก ยังมีลูกขนไก่ แบบนี้เหลืออยู่ในปัจจุบันบ้าง เล็กน้อย เมื่อนำมาทดสอบระยะการลอยของลูก ซึ่งสร้างในปี 1911 ปรากฏว่าลูกพุ่งไป ได้ 55 ฟุต ในการตีด้วยแรงธรรมดาของ ผู้เล่น ในขณะที่ลูกขนไก่ในปัจจุบัน พุ่งไป ได้ 42 ฟุต ดังนั้นคงพอสรุปได้ว่าการ แข่งขันในยุคนั้นคงจะเร็วและหนักหน่วงมาก เพื่อการทำให้ลูกไปตกที่เส้นท้าย คอร์ตตลอดเวลา ลูกขนไก่บาร์เรลถูกใช้ในการ แข่งขันออลอิงแลนด์ครั้งแรกด้วย แต่อายุการใช้งานของมันค่อนข้างสั้น แล้วมันก็มี ระยะการลอยไม่เท่ากัน จึง ไม่ใช่ลูกที่สมบูรณ์มากที่สุด

ในปี 1909 หลังจากที่สมาชิกของสมาคมแบดมินตัน แห่งอังกฤษมีการปรึกษาหารือ กันลูกขนไก่ชนิดใหม่ซึ่งเป็นต้นแบบของลูกขนไก่ ที่ใช้ในปัจจุบัน ก็ถูกนำมาใช้ใน การแข่งขันแทนลูกขนไก่แบบใหม่นี้ ผลิตใน อังกฤษโดย เอฟ.เอช. อายเรส ขนที่ ใช้ก็ยังเป็นขนห่านเหมือนเดิม แต่ติดขนด้าน เรียบไว้ด้านใน เพื่อการเย็บให้โค้ง ตามรูปขนนกที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด ลูกขน ไก่เหล่านี้ทำด้วยมือทั้งหมด ไม้คอร์กที่ ใช้ก็เป็นไม้คุณภาพดีที่ใช้กับจุกไวน์ชั้น หนึ่ง ถูกทำให้เป็นรูปโดมด้วยเครื่องกลึง และครอบอีกครั้งด้วยหนังอย่างดี การผลิตค่อย ๆ พัฒนาต่อไปช้า ๆ ในแต่ละปี สำหรับใช้ในการแข่งขันแบดมินตัน ออลอิงแลนด์จนถึงปี 1938


แบดมินตัน เป็น กีฬาชนิดหนึ่ง ที่ใช้ไม้ตีลูก ลูกสำหรับใช้ตีนั้น เรียกกันมาช้านานว่า "ลูกขนไก่" เพราะสมัยก่อนกีฬานี้ใช้ขนของไก่มาติดกับลูกบอลทรงกลมขนาดเล็ก ปัจจุบันลูกขนไก่ผลิดจากขนเป็ดที่คัดแล้ว ลูกบอลทรงกลมขนาดเล็กที่ทำเป็นหัวลูกขนไก่ทำด้วยไม้คอร์ก ราคาลูกขนไก่ที่ใช้ในการแข่งขันจะอยู่ที่ประมาณลูกละ40-50บาท

กีฬาแบดมินตันจะ แบ่งผู้เล่นออกเป็น 2 ฝ่าย และแบ่งการแล่นออกเป็น 2 ประเภท คือ "ประเภทเดี่ยว" แบ่งผู้เล่นออกเป็นฝ่ายละ 1 คน และ "ประเภทคู่" แบ่งผู้เล่นออกเป็นฝ่ายละ 2 คน การเล่นรอบหนึ่งเรียกว่า 1 เกม เกมละ 3 เซ็ต ตัดสินแพ้ชนะ2ใน3เซ็ต มีกำหนดคะแนนสูงสุด 21 คะแนน ฝ่ายใดทำคะแนนได้ถึง 21 คะแนนก่อนจะเป็นผู้ชนะในเซ็ตนั้น

ประวัติแบดมินตัน

กีฬาแบดมินตันมีความเป็นมาไม่ชัดเจนนัก ซึ่งจากหลักฐานต่างๆ จะสามารถบ่งบอกที่มาของกีฬาประเภทนี้ไว้ที่หลายยุค เช่น

ในจีนช่วงคริสต์ ศตวรรษที่ 7 มีภาพวาดเก่าๆ ซึ่งบ่งบอกว่ามีการใช้ขนไก่มาทำเป็นลูกขนไก่ใช้ในการเล่น ซึ่งตอนนั้นจะใช้เท้าเตะกัน 2 คนหรือจะตั้งวงกัน 3-4 คน
คริสต์ศตวรรษที่ 13 ชาวอินเดียแดงในอเมริกาตอนใต้ ใช้ขนนกหรือขนไก่พูกติดกับลูกกลมโดยลูกบอลกลมนั้นใช้หญ้าฟางพันขมวดเข้าด้วย กัน และให้ขนไก่ชี้ไปทางเดียวกันและเวลาเล่นใช้มือจับลูกขนไก่นั้นปาใส่ผู้เล่น คนอื่น
คริสต์ศตวรรษที่ 14 ชาวญี่ปุ่นได้มีการใช้ขนไก่ หรือขนนกเสียบผูกติดกับหัวไม้ และใช้ไม้ตีลูกขนไก่นั้น โดยไม้ที่ใช้ตีทำมาจากไม้กระดาน ตีลูกขนไก่ไปมา
ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 ในแถบยุโรปมีการเขียนภาพสีน้ำมันถึงการเล่นกีฬาแบดมินตันในราชสำนักต่าง ๆ
พระราชินีคริสตินาแห่งสวีเดนทรงจำลองไม้แบดมินตันมาจากแร็กเกตในกีฬาเทนนิส และใช้ขนไก่หรือขนนกเสียบติดกับหัวไม้ก๊อก
เจ้าฟ้าชายเฟรดเดอริค มกุฎราชกุมารแห่งเดนมาร์ก ทรงแบดมินตันในลักษณะเดียวกัน แต่ในตอนนั้นเรียกแบดมินตันว่า "แบทเทิลดอร์กับลูกขนไก่"
คริสต์ศตวรรษที่ 18 ในเยอรมนีกษัตริย์ของปรัสเซียเฟรดเดอริคมหาราช และพระเจ้าหลานเธอเฟรดเดอริค วิลเลียมที่สอง ทรงแบดมินตันในลักษณะเดียวกัน และในประเทศอังกฤษมีเรื่องเล่าว่าในปี ค.ศ. 1870 นายทหารคนหนึ่งที่ไปประจำการอยู่ในเมืองปูนา ประเทศอินเดียได้เห็นกีฬาตีลูกขนไก่จึงนำกลับไปเล่นในอังกฤษ และในอังกฤษ ณ คฤหาสน์ “แบดมินตัน” ของดยุคแห่งบิวฟอร์ด ที่ตำบลกล๊อสเตอร์เชอร์ ในปี ค.ศ. 1873 เกมกีฬาตีลูกขนไก่จึงถูกเรียกว่า “แบดมินตัน” ตามชื่อของสถานที่นับตั้งแต่นั้นมา

การเล่นแบดมินตัน

กติกาเบื้องต้น แบดมินตัน
การออกนอกเส้น มีการกำหนดเส้นออกแต่งต่างกันในกรณีเล่นเดี่ยวและเล่นคู่
การเสิร์ฟลูก ตามกติกา ที่ถูกต้อง คือ
หัวไม้ขณะสัมผัสลูกต้องต่ำกว่าข้อมืออย่างเห็นได้ชัด
หัวไม้ขณะสัมผัสลูกต้องต่ำกว่าเอวอย่างเห็นได้ชัด
ผู้เล่นต้องไม่ถ่วงเวลา หรือเสริฟช้า หรือเสริฟ 2 จังหวะ การเสริฟ ต้องเสริฟไปด้วยจังหวะเดียว
ขณะเสิร์ฟ ส่วนใดส่วนหนึ่งของเท้าทั้ง 2 ข้างต้องสัมผัสพื้นตลอดเวลา
การเสิร์ฟลูกที่ถูกต้อง ต้องให้แร็กเก็ตสัมผัสกับหัวลูกก่อน หากโดนขนก่อนถือว่าผิดกติกา
ขณะตีลูกโต้กัน ห้ามนำส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายหรือไม้แบดไปสัมผัสกับเน็ท
ห้ามตีลูกที่ฝั่งตรงข้ามโต้กลับมาในขณะที่ลูกยังไม่ข้ามเน็ทมายังแดนเรา(Over net)

การดิวส์
หากผู้เล่นทั้งสองฝ่ายทำคะแนนได้เท่ากันในคะแนนที่ 20 จะมีการเล่นต่อ จนกว่าว่าจะมีคะแนนมากกว่าฝ่ายตรงข้าม 2 คะแนน แต่ถ้ายังไม่สามารถทำคะแนนห่างกัน 2 แต้มได้ จะเล่นต่อไปเรื่อยๆ แต่ เมื่อแต้มได้ 29 เท่ากัน ใครที่ทำได้แต้ม 30 ก่อนจะเป็นฝ่ายชนะ

การเมืองไทย

สังคมการเมืองไทยขณะนี้กำลังอยู่ในภาวะอะไรกันแน่?



ถ้าให้คุณอธิบายหรือ "เล่าเรื่อง" ความขัดแย้งทางการเมืองในขณะนี้ให้ใครซักคนหนึ่งฟัง คุณจะ "เล่า" เรื่องนี้ในลักษณะอย่างไร? ที่สำคัญ คือ พล็อตหรือเค้าโครงการเล่าเรื่องที่ใช้นั้น คุณคิดว่ามันจะพาเราและสังคมการเมืองไทยไปทางไหน? ไปได้ไกลแค่ไหน?



...หรือไม่ได้ไปไหนเลย



โดยปกติ ผมเห็นว่าแนวการอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆทางการเมืองแบบวิเคราะห์เชิง "เกมส์อำนาจ" ของผู้นำ หรือการชิงไหวชิงพริบแต่ละฝ่าย พร้อมด้วยผู้หนุนหลัง และตัวละครอื่นๆอีกมากมาย นั้น มีประโยชน์ในหลายสถาน เพราะแม้จะดูเป็นด้านมืดสักหน่อย แต่มันเป็นตัวขับเคลื่อนการเมืองในโลกจริง



แต่ ขณะนี้ ดูเหมือนว่าเราจะเอ่อท้นไปด้วยแนวการวิเคราะห์เช่นนี้มากเกินไป จนไม่สามารถมองเห็นโลกในด้านอื่นๆได้มากนัก ทั้งที่ความเป็นจริงทางสังคมการเมือง มักมีด้านอื่นๆอีกมากมายมหาศาลเสมอๆ



พูด อีกอย่าง คือ เรากำลังตั้งโจทย์อะไรต่อความขัดแย้งในการเมืองไทยปัจจุับัน คำถามแบบไหนที่เราตั้งขึ้น คำถามเหล่านี้พาเราไปสู่คำตอบแบบไหน คำตอบนั้นดูดีมีอนาคตสดใสเพียงใด หรือมีแต่พาให้เราหดหู่ เศร้าหมอง รู้สึกไม่สามารถทำอะไรได้มากมายนัก



ที่สำคัญ คือ เราสามารถตั้งโจทย์แบบอื่นๆต่อการเมืองไทยปัจจุบันได้หรือไม่? มีแนวการเล่าเรื่องแบบอื่นๆอีกได้หรือไม่? ที่ทำให้เราสามารถเห็นโลก (การเมืองไทย) ได้รุ่มรวยกว่าที่เป็นอยู่ อีกทั้งยังชวนให้เราสามารถทำอะไรกับสถานการณ์ได้บ้าง



ผม เห็นว่าหลายปีมานี้ การเมืองไทยถูกขับดันไปจนสุดขอบความรู้เท่าที่เราพอจะมีกันอยู่ และสังคมไทยก็ได้ใช้ปัญญาในการกำกับ ยับยั้ง และหาทางออกให้กับการเมืองไทยอย่างเต็มที่ แต่ดูเหมือนเรายังคงคว้าไม่เจอ "โจทย์" ที่ดูจะมี "พลังในการอธิบาย" ได้อย่างน่าพึงพอใจมากนัก



ผม เห็นด้วยกับอาจารย์ัรัฐศาสตร์ที่ออกมาอธิบายว่าปัจจุบันเรากำลังเผชิญกับ ปัญหาในระดับพื้นฐานของระบบการเมือง ซึ่งสำหรับผมแล้ว มันคือปัญหาว่า ด้วยเรื่องคุณค่า ความหมาย และที่มาของความชอบธรรมในลักษณะต่างๆ และความสัมพันธ์ระหว่างประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งกับประชาธิิปไตยแบบมีส่วน ร่วม หรือระหว่า้่งการเมืองแบบในรัฐสภากับการเมืองนอกสภา



ที่ มาของความชอบธรรมในระบบการเมืองหนึ่งๆนั้น มีได้หลากหลาย ทั้งที่มาจากการสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ สามารถแก้ปัญหาปากท้องให้ผู้คนได้ ความชอบธรรมที่ได้มาจากคะแนนเสียงในระบบประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง หรือความชอบธรรมจากการเข้าร่วมอย่างแข็งขันของพลเมือง ในฐานะที่รับผิดชอบโดยตรงต่อระบบการเมืองของตน อันเป็นฐานที่มาของประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม หรือแม้แต่ความชอบธรรมของการเมืองนอกสภาที่เกิดขึ้นเพราะการเมืองในสภาไม่ สามารถธำรงบรรทัดฐานความถูกต้องของสังคมไว้ได้ และยังมีที่มาของความชอบธรรมอีกมาก เช่น จากอำนาจประเพณี บารมี การใช้หรือไม่ใช้ความรุนแรง เ็ป็นต้น



โจทย์ ใหญ่ของเราในขณะนี้ คือ ที่ผ่านมา เราเผชิญกับการปะทะกันของความชอบธรรมหลากหลายชนิด โดยไม่รู้ว่าควรจัดลำดับความสำคัญของความชอบธรรมแต่ละชนิดไว้ก่อนหลังอย่าง ไร และผู้ที่ยึดกุมความชอบธรรมแต่ละชนิดนั้น ควรเอื้ออาีรีต่อผู้ยึดกุมความชอบธรรมแบบอื่นๆอย่างไร



ตัวอย่าง ง่ายๆก็เช่น น้ำหนักเหตุผลและความชอบธรรมที่ให้ต่อความห่วงใยในภาพลักษณ์และผลประโยชน์ ทางเศรษฐกิจและการลงทุนของประเทศนั้น จะจัดวางความสัมพันธ์กับความไม่ชอบธรรมจากปัญหาปากท้อง ปัญหาคอร์รัปชั่น ตลอดจนปัญหาความไม่เป็นธรรมทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ฯลฯ ของประเทศอย่างไร?



ใน ทางการเมืองนั้น เรากำลังอยู่ในภาวะที่การเมืองในสภาเสื่อมความชอบธรรมลงไปมาก อันเป็นผลจากความไร้ประสิทธิภาพและคอร์รัปชั่นมากมายหลายปีที่ผ่านมา ในขณะที่การเมืองภาคประชาชนหรือการเมืองนอกสภานั้น ค่อยๆเข้มแข็งมากขึ้นๆ โดยเฉพาะในช่วงหลังปีสามสี่ปีมานี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเครือข่ายสื่อเป็นเนื้อเดียวกับ หรือกระทั่งเป็นผู้นำของขบวนการเคลื่อนไหวภาคประชาชนเองด้วยซ้ำ การเมืองภาคประชาชนเข้มแข็งและขยายตัวอย่างล้มหลามจนน่าตกใจ เพราะบางครั้งดูจะล้ำเส้นไปบ้าง กลายเป็นดุดัน บางครั้งถึงขั้นก้าวร้าว ก่อให้เกิดความเกลียดชังแพร่สะพัด กระทั่งปริ่มๆว่าจะก่อให้เกิดความรุนแรงขึ้นได้ อย่างไรก็ตาม นี้ก็ยังสามารถถือได้ว่าการเมืองภาคประชาชนของไทยก้าวหน้าไปมาก และที่น่าสนใจ ก็คือ เราจะสามารถ "ต่อยอด" ขบวนการเคลื่อนไหวภาคประชาชนในช่วงที่ผ่านมาได้อย่างไร?



ดัง นั้น โจทย์ใหญ่ทางการเมืองปัจจุบัน คือ เราจะจัดลำดับความสำคัญและความสัมพันธ์ระหว่างการเมืองในสภาและการเมืองนอก สภาอย่างไร? การเมืองนอกสภา ควรไปไกล (อาจรวมทั้งดุดัน) มากน้อยเพียงใด? ความชอบธรรมของการเมืองในสภาควรอยู่ในขอบเขตระดับใด? เมื่อใดที่การเมืองในสภาหมดความชอบธรรม และต้องหลีกทางให้การเืมืองนอกสภา? และ เราจะสร้างพื้นที่ให้มากขึ้นให้คนกลุ่มต่างๆสามารถใช้การเมืองนอกสภาเป็นหน ทางรักษาความถูกต้องและความเป็นธรรมของสังคม (โดยเฉพาะเมื่อการเมืองในสภาไม่สามารถทำงานได้) ได้อย่างไร?



กล่าวอีกนัยหนึ่ง เราน่าจะชวนกันตั้งโจทย์ว่า เมื่อ เกิดสภาวะที่สังคมไม่สามารถดำเนินไปตามกระบวนการทางการเมืองปกติ (ซึ่งยืนอยู่บนความสัมพันธ์ของคุณค่าและที่มาของความชอบธรรมต่างๆในลักษณะ หนึ่ง ที่อาจให้น้ำหนักกับการเมืองในสภาและเศรษฐกิจปากท้อง หรือภาพลักษณ์การลงทุนของประเทศ ก็ตามแต่) เราควรจัดลำดับความสัมพันธ์ของคุณค่าต่างๆเหล่านี้ "ใหม่" อยางไร? เช่น อาจต้องยอมให้เศรษฐกิจการลงทุนพร่องไปบ้าง บน ฐานของความเห็นใจ ว่าคนที่ออกมาเรียกร้องนั้น เขาคงมีปัญหาจริงๆ (อาจจะหลังจากพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า อยู่มานานจริง ยอมทนลำบาก ตากแดด ตากฝนจริงๆ เพราะการเมืองนอกสภานั้น ไม่ใช่เรื่องที่ใครนึกจะเคลื่อนไหว ก็ทำได้ง่ายๆ)



เหล่านี้คือโจทย์ที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นส่วนหนึ่งในการพยายาม "อธิบาย" หรือ "เล่าเรื่อง" การเมืองไทยในปัจจุบันได้อย่างรุ่มรวยหลากหลายและดูมีที่ทางให้เราได้ทำอะไรกันได้มากขึ้น กว่าแนวการเล่าเรื่องแบบที่เป็นๆกันอ